วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โรคที่มากับสายฝน



โรคที่มากับสายฝน
นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ศัลยแพทย์สมองและระบบประสาท และผู้เชี่ยวชาญกฎหมายการแพทย์

      อากาศระยะนี้ยังคงมีฝนตกอยู่ หลายคนอาจชอบเพราะนอนหลับสบาย แต่หลายคนคงต้องลำบากกับการไปทำงานท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา โดยเฉพาะคนที่ต้องพึ่งพารถสาธารณะ ซึ่งอาจจะถึงที่ทำงานหรือกลับบ้านในสภาพเปียกปอน อีกอย่างที่พึงระวังคือโรคภัยไข้เจ็บที่มาพร้อมกับสายฝน

โรคที่มากับอากาศ

      โรคที่มากับอากาศที่รู้จักกันดีก็คือ หวัด ทั้งในรูปแบบของหวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่ แต่ถ้าจะให้ทันสมัยหน่อยก็ต้องไข้หวัดนก (avian flu) ซึ่งมีความรุนแรงขนาดทำให้คนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอกว่าปกติเสียชีวิตได้เหตุผลที่ทำให้คนเรามีอาการเป็นหวัดได้ง่ายเมื่อถูกฝน ก็เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจากร้อนชื้นกลายมาเป็นอากาศเย็นอย่างรวดเร็ว ร่างกายจึงไม่สามารถปรับตัวตามอุณหภูมิที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจึงอ่อนแอลง หากเราหายใจเอาเชื้อโรค (เชื้อไวรัส) ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศเข้าไป ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายกว่าในภาวะปกติ ดังนั้นหากเราเปียกฝนก็ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก หรือในบริเวณที่มีโอกาสได้รับเชื้อมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ๆ อากาศไม่มีการถ่ายเท เพราะหากมีคนไอหรือจาม โอกาสได้รับเชื้อและติดเชื้อก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าปกติ
แต่เราสามารถป้องกันโรคหวัดได้ด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้

      1. หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็วและกะทันหัน
      2. หลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก โดยเฉพาะในบริเวณที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
      3. หากต้องตากฝน ให้รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกออกโดยเร็ว และเช็ดตัวให้แห้ง แต่ต้องระมัดระวังอย่าให้อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงจากเย็นเป็นร้อน เร็วเกินไป

     


โรคที่มากับอาหารและน้ำ
       โรคในกลุ่มนี้มักเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค แต่ถ้ามีระบบสุขอนามัยพื้นฐานถูกต้องแล้วมักไม่ค่อยมีปัญหา ยกเว้นในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ซึ่งทำให้สุขอนามัยพื้นฐานมีปัญหา และมีเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหารตามมาได้ ที่พบได้บ่อยๆ คือ อหิวาตกโรค หรือที่เป็นข่าวดังก็คือลำไส้อักเสบรุนแรงจากเชื้ออีโคไล ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายปนมูกเลือดอย่างรุนแรง เสียน้ำมากจนอาจเกิดอาการช็อก หรือติดเชื้อในกระแสโลหิตได้
การป้องกันและหลีกเลี่ยงทำได้โดย
      1. ดื่มน้ำสะอาดที่ต้มสุกหรือผ่านการกรองอย่างถูกต้อง
      2. ล้างมือให้สะอาดก่อนใช้มือรับประทานอาหาร หรือปรุงอาหาร
      3. หลีกเลี่ยงการซักเสื้อผ้าหรือล้างจานชามในแหล่งน้ำที่มีการปนเปื้อน หรือแหล่งน้ำสาธารณะที่ไม่แน่ใจในความสะอาด
      4. ทำความสะอาดของเล่นหรือสิ่งของที่ใช้งานบ่อยๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ โดยเฉพาะของเล่นที่เด็กต้องใช้ร่วมกัน เช่น ในสวนสาธารณะ ในโรงเรียน เป็นต้น
      5. เก็บอาหารและภาชนะให้ห่างจากสัตว์นำเชื้อโรค เช่น แมลงวัน หนู

   

โรคติดต่อที่มากับแมลง


      โรคติดต่อที่มากับแมลงที่มีการระบาดมากที่สุดในหน้าฝนคือโรคติดต่อที่มียุงเป็นพาหะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไข้เลือดออกที่อาจทำให้ผู้ป่วยเด็กถึงแก่ชีวิตได้ โดยการป้องกันนับเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมโรคไข้เลือดออก ซึ่งองค์การอนามัยโลกให้คำแนะนำไว้ดังนี้       1.อย่าปล่อยให้บริเวณบ้านมีน้ำขัง รวมทั้งในแจกันดอกไม้ อ่างน้ำ ขวดเปล่า เพราะน้ำนิ่งๆ จะเป็นที่ซึ่งยุงชอบมาวางไข่ไว้ ทำให้บ้านพักอาศัยของเรากลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงที่มากัดคนในบ้านเอง โดยตำแหน่งที่คนนึกไม่ถึงและอาจเป็นที่เพาะพันธุ์ยุงได้ก็คือ หลังคาหรือระเบียงบ้านที่มีน้ำขังและคนในบ้านไม่เคยสำรวจ
      2.ติดตาข่ายหรือมุ้งลวด กันยุงบริเวณประตูหน้าต่าง
      3.หากต้องอยู่ในที่ๆ มียุงมากๆ เช่น ที่มืด มีน้ำขัง ให้สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว
      4.หากมีผู้ป่วยไข้เลือดออกในบ้าน ให้แยกผู้ป่วยออกจากคนรอบข้าง และป้องกันมิให้ยุงมากัดผู้ป่วย เพราะเชื้อโรคจะอาศัยยุงเป็นตัวแพร่เชื้อ เมื่อยุงไปกัดคนอื่นๆ ในบ้านต่อ
      5.หากคนในบ้านมีอาการคล้ายหวัด หรือเป็นไข้โดยไม่ทราบสาเหตุแน่นอนเกิน 2-3 วัน ร่วมกับมีผื่นหรือจุดเลือดออกเล็กๆ ตามลำตัว ให้สงสัยว่าจะเป็นไข้เลือดออกเสมอ
      6.หากไม่แน่ใจว่าป่วยเป็นไข้เลือดออกหรือไม่ ให้ไปพบแพทย์โดยเร็วโดยช่วงอันตรายที่สุดของไข้เลือดออกคือช่วงที่ไข้ลง เพราะจะเป็นช่วงที่มีอาการแทรกซ้อนเกี่ยวกับภาวะเลือดออกผิดปกติ และอาจทำให้ผู้ป่วยช็อกได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็ก หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ เช่น คนชรา


โรคผิวหนัง
      ปกติแล้วผิวหนังมีหน้าที่หลักในการป้องกันเชื้อโรคมิให้ผ่านเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย แต่ในขณะเดียวกันผิวหนังเองก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคแหล่งหนึ่ง โดยเฉพาะในบริเวณที่มีความอับชื้นหรือเป็นซอกหลืบ เช่น เล็บ เมื่อผิวหนังต้องแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ จะทำให้เชื้อโรคสามารถแทรกซึมผ่านผิวหนังได้โดยง่าย และอาจเกิดปัญหาเชื้อราตามมา การป้องกันทำได้โดยไม่ปล่อยให้ผิวหนังเปียกชื้นเป็นเวลานานๆ ติดต่อกัน โดยเฉพาะบริเวณง่ามเล็บเท้า ขาหนีบ ข้อพับต่างๆ เมื่อต้องลุยน้ำเป็นเวลานานๆ ให้รีบล้างทำความสะอาดเท้าและเช็ดให้แห้งโดยเร็ว


โรคที่เกี่ยวกับหนังศีรษะ
      หนังศีรษะจัดเป็นผิวหนังแบบหนึ่ง จึงสามารถเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้ไม่ต่างกับผิวหนังทั่วไป แต่การอักเสบของหนังศีรษะจะยุ่งยากกว่าบริเวณอื่นของผิวหนัง เพราะที่หนังศีรษะจะมีรากผมอยู่ด้วย คนที่ป่วยด้วยโรคผิวหนังบริเวณหนังศีรษะจึงมักมีปัญหาผมร่วงเนื่องจากรากผมถูกทำลายโดยรังแคของหนังศีรษะมักเกิดจากการติดเชื้อราที่หนังศีรษะ ทำให้มีอาการคันและผมร่วงผิดปกติ การสระผมด้วยแชมพูชนิดพิเศษร่วมกับไม่ปล่อยให้ผมเปียกแฉะอยู่เป็นเวลานาน จะช่วยลดอาการคันจากรังแคของหนังศีรษะได้ และหากต้องสระผมบ่อยๆ ควรเลือกใช้แชมพูอ่อนๆ ที่ไม่ระคายเคืองหนังศีรษะมากเกินไป


โรคภูมิแพ้
      โรคภูมิแพ้พบได้บ่อยขึ้นในช่วงหน้าฝนรวมทั้งหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง เพราะอากาศที่เย็นชื้นจะกระตุ้นให้มีอาการมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ซึ่งมักจะพบปัญหานี้ได้บ่อย และหากไม่ได้รักษาให้หายดี ปล่อยให้เป็นเรื้อรัง จะทำให้กลายเป็นไซนัสอักเสบ หอบหืด ตามมาในที่สุด


รู้อย่างนี้แล้วต้องรับมือกับสายฝนกันให้ดี

ขอบคุณที่มา : healthtoday.net



credit : teenee.com

“เครื่องสำอาง”ตัวไหนจำเป็นต้องใช้


เครื่องสำอางผลิตออกมาหลากหลายชนิด แต่สภาพและปัญหาผิวแต่ละคนแตกต่างกัน จึงต้องเลือกใช้เครื่องสำอางที่ตรงกับปัญหาเพื่อแก้ให้ถูกจุด

“ไพรเมอร์” 
ประกอบด้วยซิลิโคนและโพลีเมอร์ ส่วนใหญ่จะผสมขี้ผึ้งที่ทำให้ติดทนนาน เพื่อช่วยปกปิดผิวให้เรียบเนียน เช่น บริเวณร่องริมฝีปาก  เปลือกตา หรือส่วนอื่นๆ บนใบหน้า ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ไพรเมอร์ คือผู้ที่มีริ้วรอยที่ต้องการปกปิดบริเวณส่วนต่างๆ ของใบหน้า โดยไพรเมอร์จะเข้าไปเติมร่องริ้วรอยทำให้แต่งหน้าออกมาสวยและติดทน แต่ถ้าผิวไม่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยก็ไม่จำเป็นต้องใช้ หรือหากผิวแพ้ง่าย เป็นโรคผิวหนังก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้ไพรเมอร์

ส่วน “โทนเนอร์ที่จะช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกินและทำให้รูขุมขนกระชับ เหมาะสำหรับคนที่ผิวมันมากๆ และไม่ได้ควบคุมความมันบนใบหน้าด้วยวิธีอื่นๆ เช่น ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิกหรือโลชั่นดูดซับความมัน ซึ่งบางคนอาจเคยได้ยินมาว่าโทนเนอร์ทำให้ผิวดูดซึมสารบำรุงอื่นๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งไม่เป็นความจริง

หากมีผิวธรรมดา ผิวแห้งหรือผิวบอบบางก็ควรข้ามขั้นตอนการใช้โทนเนอร์ เพราะโทนเนอร์จะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้น เป็นสาเหตุให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ ซึ่งเป็นกระบวนการป้องกันการสูญเสียน้ำในผิว จึงอาจทำให้หน้ามันมากกว่าตอนที่ยังไม่ได้ใช้โทนเนอร์ด้วยซ้ำไป

สำหรับ “อายครีม” ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะระบุบนฉลากว่าทำให้ผิวรอบดวงตาไร้ริ้วรอย ช่วยลดอาการบวมและทำให้รอบดวงตาหายจากอาการดำคล้ำด้วยคอลลาเจนหรือคาเฟอีน ที่จริงผู้ที่มีผิวใต้ดวงตาบอบบางและมีริ้วรอย ใช้แค่มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับใบหน้าทารอบๆ ดวงตาก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้ารอบดวงตามีอาการบวมแดงหรือไหม้แดดให้ใช้อายครีม เพราะจะอ่อนโยนต่อผิวมากกว่าครีมบำรุงผิวทั่วไป เนื่องจากมีสารบำรุงที่เข้าไปแก้ปัญหารอบดวงตาได้อย่างตรงจุดและปราศจากน้ำหอมที่ทำให้ผิวระคายเคือง

ถ้าผิวรอบดวงตาบวมแดง ให้เลือกอายครีมแบบเจลที่มีส่วนผสมของคาโมไมล์หรือคาเฟอีน ซึ่งจะทำให้ผิวขับน้ำออกมา แต่หากต้องการให้ผิวรอบดวงตาไร้ริ้วรอยให้เลือกอายครีมที่มีส่วนผสมของโอลิโกเปปไทด์ (กรดอะมิโน)และเรตินอลหรือวิตามินซี แต่หากยังไม่มีปัญหาริ้วรอยรอบดวงตาและใช้ครีมบำรุงผิวอยู่เป็นประจำก็ไม่จำเป็นต้องใช้อายครีม

ปิดท้ายด้วย“ไนท์ครีม”ที่ส่วนใหญ่มักจะประกอบด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เข้มข้น บางชนิดอาจผสมน้ำมัน เปปไทด์และเรตินอล ซึ่งระบุว่าเป็นตัวที่ช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากแสงแดด เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวผู้ใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าหนาว หรือผิวที่ถูกแสงแดดทำลาย มีริ้วรอยหรือระคายเคือง

การใช้ไนท์ครีมที่มีส่วนผสมของสารต่างๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาผิวเฉพาะด้านก็เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม แต่ระวังอย่าใช้ไนท์ครีมในช่วงกลางวัน เพราะการได้รับสารบำรุงที่เข้มข้นมากเกินไปอาจระคายเคืองผิว แต่หากผิวมัน ควรใช้โลชั่นบำรุงผิวแบบออยล์ฟรีที่ไม่ผสมสารกันแดดแทนไนท์ครีม

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


credit : teenee.com

ไข่ดิบบำรุงร่างกายจริงหรือ?



ใครนิยมรับประทานไข่ดิบหรือไข่ลวกเพื่อบำรุงร่างกาย วันนี้มีข้อเท็จจริงบางอย่างที่อาจทำให้หยุดคิดว่าผลของการกระทำเช่นนั้น เป็นเรื่องจริงทางวิทยาศาสตร์หรือ ?
             ไข่เป็นของคู่ครัวคนไทยและจัดเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง มีทั้งโปรตีน ไขมัน วิตามินเอ ธาตุเหล็ก สังกะสี แต่การที่จะกินไข่ให้ได้ประโยชน์ต้องรู้จักกิน เพราะในไข่ขาวที่ไม่สุกหรือสุกๆ ดิบๆ จะมีสารที่ชื่อว่า อะวิดิน (avidin) สารตัวนี้จะไปจับวิตามินไบโอติน (biotin) ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการขาดไบโอตินได้ นอกจากนี้การกินไข่ดิบหรือไข่ขาวสุกๆ ดิบๆ อาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย คือย่อยยากทำให้กระเพาะอาหารต้องทำงานหนัก ความเชื่อที่ว่ากินไข่ดิบหรือไข่ลวกสุกๆ ดิบๆ เป็นประจำจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชานั้น คงต้องเลิกเชื่อกันได้แล้ว


ที่มา : newsplus.co.th



credit : teenee.com

เตือน! เด็กยุคไอแพดเสี่ยงปัญหาสุขภาพ



ผู้ใหญ่ในโลกยุคไฮเทค อาจจะไม่สามารถส่งข้อความพร้อมกับดูทีวีไปพร้อมๆ กันได้ แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่โตขึ้นมาในยุคนี้ สามารถใช้เครื่องมือไฮเทคสองสามอย่างพร้อมกันได้อย่างง่ายดาย        นักวิจัยกล่าวว่า เด็กวัย 10-11 ขวบทุกวันนี้มักจ้องจอภาพหลายๆ จอพร้อมกัน เช่น ดูทีวีไปพร้อมกับใช้ไอแพด สมาร์ทโฟน หรือกดเกมกดไปพร้อมกันได้ แม้ความสามารถนี้จะดูมีประโยชน์ แต่นักวิจัยเตือนว่าพฤติกรรมนี้ทำให้วัยรุ่นเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน และอาจมีปัญหาสุขภาพจิตได้ ยิ่งยุคนี้ที่เราสามารถเลือกดูทีวีรายการที่ต้องการเมื่อไหร่ก็ได้ผ่านอิน เทอร์เน็ต เล่มเกมคอมพิวเตอร์ผ่านโน้ตบุ๊ก ใช้มือถือแชทกับเพื่อนผ่านเฟซบุ๊ก หรือจะทำทุกอย่างพร้อมกันก็ยังได้

งานวิจัยศึกษาตัวอย่างเด็กวัย 10-11 ขวบ 63 คน พบว่า เด็กยุคนี้ชอบดูจอภาพมากกว่า 1 จอในเวลาเดียวกัน เช่น ใช้มือถือหรือเครื่องใช้ไฮเทคอีกชิ้นหาข้อมูลในระหว่างช่วงโฆษณาทางทีวี และมักแชทกับเพื่อนขณะรอเกมคอมพิวเตอร์เริ่มเกม ส่วนทีวีกลายเป็นอุปกรณ์ให้ความบันเทิงฉากหลังแทน ในขณะที่วัยรุ่นมักทำอย่างอื่นไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะหากต้องดูรายการโทรทัศน์น่าเบื่อเพราะพ่อแม่เลือกที่จะดู

ดร.รัส จาโก จากมหาวิทยาลัยบริสตอล กล่าวว่า เราสามารถดูทีวีผ่านคอมพิวเตอร์ ใช้เกมกดต่ออินเทอร์เน็ต สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตฟังเพลง และเครื่องแล็ปท็อปสามารถทำได้ทุกอย่างข้างต้น ในขณะที่โครงการรณรงค์เพื่อสุขภาพยังรณรงค์แค่ลดการดูโทรทัศน์

เขากล่าวว่า 
เด็กยุคนี้สามารถเข้าถึงสื่อที่แตกต่างกันผ่านอุปกรณ์อย่างต่ำ 5 เครื่องต่อคนโดยเฉลี่ย และอุปกรณ์ส่วนใหญ่สามารถพกพาได้ หมายความว่าเด็กสามารถนำเอาอุปกรณ์เหล่านี้เข้าห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น แล้วแต่อารมณ์และความต้องการบรรยากาศส่วนตัวของเด็ก
เขาชี้ว่านั่นหมายความว่า ครอบครัวจำเป็นต้องให้ความสำคัญและความร่วมมือกัน เพื่อลดการใช้เวลาไปกับการจ้องจอภาพหลายๆ จอของวัยรุ่นลง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ไหนก็ตาม




ที่มา วิชาการดอทคอม





credit : teenee.com

ร้านไก่ทอดโอบามาที่ปักกิ่ง



นักธุรกิจจีน ปิ๊งไอเดียนำรูปประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐฯ มาเป็นโลโก้ร้านไก่ทอด เลียนแบบเคเอฟซี
ร้านไก่ทอดนี้มีชื่อว่า โอบามา ฟราย ชิกเก้น อยู่ที่กรุงปักกิ่ง โดยมีการเลียนแบบเคเอฟซีทุกอย่าง ทั้งหลังคาผ้าใบสีแดง ตัวอักษรและโลโก้ที่เป็นตัวการ์ตูนโอบามา แต่งตัวคล้ายผู้พันแซนเดอร์ส ของเคเอฟซี พร้อมด้วยสโลแกนภาษาจีนว่า 
"We're so cool, aren't we?"
หนังสือพิมพ์ Daily Mail ของอังกฤษ
 สันนิษฐานว่า ร้านไก่ทอดดังกล่าว อาจจะเป็นการตอบโต้สหรัฐฯ ที่ยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลก หรือ WTO ต่อกรณีที่จีนเรียกเก็บภาษีนำเข้าเนื้อไก่จากสหรัฐฯในระดับสูง 50-100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้นำเข้าในจีนต้องจ่ายเงินแพงขึ้นถึง 2 เท่าตัว ส่งผลให้ยอดขายหดหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมผลิตเนื้อไก่ของสหรัฐฯ ที่มีการจ้างงานประมาณ 300,000 คน

ร้านไก่ทอดโอบามาเปิดตัว หลังจากเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เคเอฟซี สาขาฮ่องกง จ้างคนหน้าเหมือนโอบามา มาแสดงโฆษณาเบอร์เกอร์ให้กับทางร้าน




ขอบคุณ  ครอบครัวข่าว 3







credit : teenee.com

หยุดปัญหาสิวหัวดำ



วิธีกำจัดสิวหัวดำให้หมดไป คืนความสดใสให้ใบหน้าและความมั่นใจกับมา ด้วยเคล็ดลับดีดีเหล่านี้คะ
     ใช้มาส์กชนิดขัดลอกผิวอย่างอ่อนโยนเป็นประจำทุกวัน
 เพื่อขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไป จะได้ไม่ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตันขึ้นมา

     อย่าพยายามบีบเค้นสิวหัวดำด้วยตัวเองเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้ พึ่งบริการจากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจะดีกว่า

     พยายามหลีกเลี่ยงการแตะต้องผิวหน้า เพื่อป้องกันการอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

     อย่าลืมใช้ครีมรองพื้นและคอนซีลเลอร์ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดสิว และไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้ก็เลือกแบบที่เป็นมิเนอรัลจะดีกว่า




ที่มา ... Lisa







credit : teenee.com

โกนขนให้ถูกวิธี



นี่คือวิธีการโกนขนอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้คุณมีผิวเกลี้ยงเกลาแบบไร้ปัญหา


           คุณต้องแน่ใจว่าใบมีดโกนที่ใช้นั้นคมและสะอาด เพื่อที่คุณจะได้ลากใบมีดโกนผ่านผิวหนังได้น้อยลง (ผิวก็จะเกิดอาการระคายเคืองน้องลงตามไปด้วย เลือกมีโกนแบบที่มีใบมีดหลายๆใบก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ดี เพราะจะได้ไม่ต้องลากใบมีดโกนซ้ำไปซ้ำมาบ่อยๆ

           เลือกใช้เจลโกนขนแบบโปร่งแสง ซึ่งจะช่วยให้คุณมองเห็นสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่อย่างชัดเจน
          
           วิธีลดอาการระคายเคืองบนผิวอีกวิธีหนึ่ง คือการโกนขนในทิศทางเดียวกับที่เส้นขนงอกขึ้นมา และถ้าจะให้ดีก็ควรโกนขนหลังอาบน้ำ เพื่อให้ไอร้อนช่วยให้เส้นขนและผิวนุ่มขึ้น

ที่มา : Lisaguru



credit : teenee.com

ทำไงดี..หน้าตกกระ

Q : เป็นคนผิวหน้าขาวแต่ตกกระเยอะมาก เคยใช้ครีมบำรุงผิวชนิดธรรมดาสีกระจะเข้มขึ้น จึงเปลี่ยนมาใช้ครีมประเภท Whitening สีกระจางลง แต่หน้าจะขาวหลอก ควรใช้ครีมชนิดไหนดี จะใช้แบบแต้มลบรอยหรือลบจุดด่างดำดีไหมคะ แล้วจะมีวิธีการดูแลผิวหน้าที่ตกกระมาก ๆ อย่างไรดี

       
 A : "กระ" เป็นภาวะที่ผิวมีการสร้างเม็ดสี melanin มากขึ้น จึงทำให้มองเห็นเป็นจุดสีน้ำตาลบริเวณที่เป็น โดยจะพบได้บ่อยในบริเวณที่สัมผัสแสงแดด เช่น โหนกแก้ม จมูก
        สาเหตุอาจ
เกิดจากกรรมพันธุ์ และการสัมผัสแสงแดดบ่อย ๆ ดังนั้นจะสังเกตได้ว่า บางคนกระจะสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาวค่ะ
        การรักษา กระนั้นสามารถทำได้โดยการใช้เทคโนโลยี Pigmented Laser (Q switched, Ruby laser)IPL(Intense pulse light) ซึ่งช่วยทำให้กระจางลง ผิวหน้าดูดีขึ้นแต่ไม่ได้ทำให้หายขาดค่ะ

         การใช้ครีมกลุ่ม Whithening หรือครีมลดรอยดำที่มีขายตามท้องตลาด และมี อย.รับรองนั้น สามารถช่วยทำให้กระจางลงได้ แต่อาจจะใช้เวลาในการรักษาหลายเดือน จึงเป็นไปได้ว่า จะเกิดปัญหาหน้าขาวขึ้นโดยที่กระยังไม่จางอย่างชัดเจน ดังนั้นหากทาเป็นเวลานาน ควรทาเฉพาะบริเวณกระจะดีกว่า

         ส่วน Bleaching Agent เป็นครีมกลุ่มควบคุม ไม่สามารถซื้อใช้เองได้ ต้องปรึกษาแพทย์ค่ะ เนื่องจากครีมบางชนิดมีส่วนผสมที่ไม่ปลอดภัย อาจเกิดผลข้างเคียงได้หากใช้เป็นเวลานาน

    ที่สำคัญคุณควรดูแลผิวที่มีกระนี้ด้วยการ
             1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 -15.00 น.

             2. ป้องกันแสงแดดโดยใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 เป็นประจำ

             3. ใส่หมวกปีกกว้าง (อย่างน้อย 6 นิ้ว) เพื่อคลุมผิวบริเวณหน้าได้หมด

             4. หลีกเลี่ยงแสงสะท้อนจากแดด เช่น สะท้อนจากทราย หิมะ น้ำ


         เรื่องกระนี้ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการดูแล อาจจะไม่ได้เห็นผลทันใจ แต่ต้องมีความอดทน และดูแลอย่างสม่ำเสมอค่ะ





ที่มา ... MomyPedia





credit : teenee.com

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปราบ สิว ด้วยอาหาร



    อาหารไม่ใช่ยาวิเศษรักษาสิว แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ มันช่วยให้ผิวของเราแข็งแรงได้แน่นอน และในบางกรณีก็อาจหยุดยั้งการก่อตัวของสิวใหม่ ๆ ได้ด้วยซ้ำ แต่จะกินอย่างไรดีถึงอยู่ไกลจากสิว เราไปดูกันเลย
   
   อาหารกับสิวเกี่ยวกันไหม ?              สิวเกิดจากความผิดปกติในการผลัดเซลล์ผิว (Keratinization) เซลล์ที่ตายแล้ว จะอุดตันรูขุมขน ทำให้โปรตีนและน้ำมันธรรมชาติของผิวอุดตันอยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งโปรตีนเหล่านี้จะกลายเป็นอาหารสำหรับ P.Acne แบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว โดย ศ.แพทย์ผิวหนัง เอลเลน มาร์เมอร์ จาก Mt.Sinai Hosital ชี้ว่าอาหารอาจจะไม่ใช่บ่อเกิดของสิว จึงไม่มี "อาหารต้านสิว" แต่สำหรับการกินอาหารที่สมดุล รวมถึงสารอาหารบางชนิด ก็จะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นจนมีปัญหาสิวน้อยลงได้
     อาหารต้านสิว   
           งานวิจัยเกี่ยวกับผิวหนังชี้ว่า การกินผักและผลไม้มากๆ จะส่งผลดีต่อร่างกายของเรา รวมถึงผิวหนังด้วย อาหารที่ดีต่อสุขภาพจะช่วยลดอาการอักเสบและลดโอกาสเกิดสิว ทั้งนี้ มีอาหารบางอย่างที่ดีต่อผิวหนังเป็นพิเศษ ได้แก่

      วิตามินเอ ช่วยควบคุมการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว วิตามินเอยังเป็นส่วนผสมหลักในยา Accutane ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาสิวด้วย คุณสามารถพบวิตามินเอได้ในน้ำมันปลา แซลมอน แครอต ผักโขม และบร็อกโคลี่ การมีวิตามินเอมากเกินไปอาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ โดยที่ควรกินไม่เกินวันละ 10,000 IU และสตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานเด็ดขาด

      สังกะสี เคยมีการศึกษาว่าคนที่มีสิวมักจะมีระดับสังกะสีต่ำกว่าปกติ โดยสังกะสีอาจช่วยลดสิวได้ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษต่อแบคทีเรีย PAcne และยังช่วยบรรเทาความระคายเคืองที่เกิดจากสิวด้วย

      วิตามินอีและซี สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองชนิดนี้มีคุณสมบัติอ่อนโยนต่อผิว พบวิตามินซีได้ง่ายในส้ม มะนาว มะละกอ และมะเขือเทศ ส่วนวิตามินอีหาได้จาก
มันเทศ ถั่ว น้ำมันมะกอก อะโวคาโด และผักใบเขียว
      ซีลีเนียม แร่ธาตุชนิดนี้มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยปกป้องผิวจากการบ่อนทำลาย ของอนุมูลอิสระ มีการศึกษาหนึ่งชี้ว่า การบริโภคคู่กับวิตามินอีอาจจะช่วยลดสิวได้ในระยะยาว โดยหากินได้จาก
จมูกข้าว ปลาทูน่า แซลมอน กระเทียม ไข่ และข้าวกล้อง
      กรดไขมันโอเมก้า -3 ช่วยลดอาการอักเสบ และกระตุ้นให้การผลัดเซลล์ผิวเป็นไปอย่างปกติ เราพบโอเมก้า -3 ได้จากปลาน้ำเย็น เช่น 
แซลมอน ปลาทู น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ วอลนัต เมล็ดทานตะวัน และอัลมอนด์
      น้ำเปล่า น้ำทำให้ร่างกายของเราชุ่มชื้น ผิวหนังก็จะเต่งตึงและมีสุขภาพดี ทั้งยังดีต่อกระบวนการเผาผลาญและสร้างผิวใหม่อีกด้วย
    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อเป็นสิว    
      ผลิตภัณฑ์จากนม งานวิจัยจาก George Washington University Medical Center ชี้ว่า นมวัวอาจทำให้เกิดสิวหรือทำให้สิวแย่ลงได้ เนื่องจากฮอร์โมนที่ใช้ในการเลี้ยงวัวนั่นเอง

      น้ำตาล อาหารที่มีดัชนี้น้ำตาล (Glycemic Index) สูง อาจทำให้สิวเห่อได้ในบางคน อาหารเหล่านี้สามารถย่อยได้อย่างรวดเร็ว แถมยังมีระดับอินซูลินสูง ทำให้ฮอร์โมนแอนโตรเจนถูกสร้างมากขึ้น และไปกระตุ้นการผลิตน้ำมัน ซึ่งจะอุดตันรูขุมขนต่อไป อาหารกลุ่มนี้ ได้แก่ ขนมปังขาว มันฝรั่ง น้ำหวาน และขนมขบเคี้ยว
          Tip : เมื่อสิวเห่อ ลองดูอาหารที่คุณกินภายใน 72 ชั่วโมง บางทีตัวการอาจจะอยู่ในมื้อใดมื้อหนึ่งก็ได้





ที่มา ... Lisa















credit : teenee.com

วิธีทำให้ รักแร้ เรียบเนียน



  ความงามที่พร้อมสรรพของหญิงสาวไม่ใช่แค่หน้าตา แต่รวมถึงความสะอาดในส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วย โดยเฉพาะจุดซ่อนเร้นอย่างรักแร้ ที่สาวๆ ทุกคนอยากให้ขาวเนียน ดูดี และไร้กลิ่นกวนใจ
  
กลิ่นใต้วงแขน
         พญ. อวิกา รงค์ทอง แพทย์ด้านผิวหนัง ได้ให้คำแนะนำว่า ?โดยทั่วไปแล้วผิวหนังบริเวณรักแร้เป็นผิวหนังที่บอบบาง ประกอบด้วยต่อมเหงื่อและรูขุมขนจำนวนมาก รักแร้ของเรานั้นจะมีต่อมที่สร้างเหงื่ออยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ชนิดแรกเรียกว่า Eccrine Glands มีหน้าที่คอยสร้างเหงื่อเวลาที่มีอากาศร้อน เหงื่อชนิดนี้จะใสและไม่มีกลิ่น

         ส่วนต่อมเหงื่ออีกชนิดมีชื่อว่า Apocrine Glands เหงื่อที่สร้างออกมาจะมีความเหนียวกว่าและพร้อมที่จะแปลงสภาพทันทีที่สัมผัส กับแบคทีเรียที่มีอยู่ตามผิวหนัง และกลายเป็นกลิ่นรักแร้หรือกลิ่นเต่านั่นเอง โดยแต่ละคนมีต่อม Apocrine ไม่เท่ากัน ใครที่มีน้อยก็ถือว่าโชคดีไป แต่สำหรับผู้ที่ต้องคอยซับเหงื่อ คอยฉีดน้ำหอม คงไม่รู้สึกสนุกหรือมีความสุขเท่าไหร่?

      Care & Clean : เราสามารถแก้ปัญหากลิ่นเต่าได้ง่ายๆ โดยกำจัดเชื้อแบคทีเรียให้มากที่สุด เช่น อาบน้ำบ่อยๆ ใช้สบู่ฆ่าเชื้อทำความสะอาด ใช้โรลออนระงับกลิ่นกาย ใช้สารส้ม แต่ในคนที่มีปัญหามาก อาจต้องขอคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังในการรักษา หรือลดจำนวนต่อมเหงื่อด้วยการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่รักแร้โดยตรง แต่มีข้อเสียคือ จะได้ผลชั่วคราวเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมใหม่ในการใช้แสงเลเซอร์ลดจำนวนต่อมเหงื่อโดยตรงได้ อีกด้วย

  
รักแร้ดำทำไงดี
         ตามปกติแล้วผิวใต้วงแขนจะมีสีคล้ำกว่าผิวส่วนอื่นๆ เล็กน้อย เพราะเป็นส่วนที่ผิวย่นมารวมกันเหมือนคอหรือบริเวณขาหนีบ ฉะนั้นอย่ากังวลกับความขาวของส่วนนี้มากจนขาดความมั่นใจ เว้นแต่ว่าผิวส่วนนี้จะดำคล้ำกว่าสีผิวส่วนอื่นมากกว่าปกติ ก็หาสาเหตุและวิธีดูแลซึ่งไม่ยากค่ะ

      Care & Clean : ปัญหารักแร้ดำเกิดได้จากหลายสาเหตุ การรักษาจึงต้องแก้ไขตามอาการ หากเป็นการแพ้โรลออน ก็ควรเปลี่ยนไปใช้โรลออนยี่ห้อใหม่ที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอม ที่ระบุว่า ?Fragrance-Free? โดยสังเกตส่วนประกอบสำคัญบนฉลาก หากมีชื่อสารที่แพ้ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาระงับกลิ่นแบบอื่นแทน ที่สำคัญความอ้วนและการเสียดสีบ่อยๆ ก็เป็นอีกสาเหตุของรักแร้ดำได้ การแก้ไขจึงควรลดน้ำหนัก หรือจะใช้ยาลดรอยดำหรือไวเทนนิ่งทาควบคู่ไปด้วยก็ได้ แต่ไม่ควรใช้กลุ่มที่มีกรดผลไม้ ไม่ว่า AHA หรือ BHA เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองยิ่งขึ้น
  ขนรักแร้ ดูแลไม่ยาก
           บริเวณ รักแร้เป็นส่วนที่มีเส้นขนปกคลุมเพื่อลดการเสียดสีของผิวหนังใต้วงแขน แต่การกำจัดขนด้วยวิธีผิดๆ ก็อาจทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นอย่างเด่นชัดขึ้นหรือดูคล้ายหนังไก่ ทั้งยังจำกัดการขึ้นของขนเส้นใหม่ กลายเป็นขนคุดอยู่ภายในได้อีกด้วย

      Care & Clean : การกำจัดขนรักแร้เดี๋ยวนี้ทำได้ไม่ยุ่งยากและมีหลายวิธี เช่น

          :: การโกน เป็นวิธีที่ง่าย เร็ว สะดวก แต่ขนที่ขึ้นใหม่จะแข็งและหยาบขึ้น

          :: การถอน เป็นวิธีที่สะดวก ทำให้ขนถูกถอนออกมาทั้งเส้น แต่ปัญหาคือยุ่งยากเสียเวลาและอาจทำให้เกิดปัญหาขนคุดและหนังไก่ได้

          :: การใช้ครีมกำจัดขน อาจทำโดยแวกซ์ขี้ผึ้งร้อนหรือเย็น การแวกซ์มีข้อดีคือ ทิ้งช่วงได้นานถึง 6 สัปดาห์ เพราะขนขึ้นช้า แต่มีข้อเสียคือ หากกระตุกแรงอาจทำให้รากขนขาด เกิดเป็นขนคุดอยู่ภายในได้

          :: การทำลายขนกึ่งถาวร เป็นการถอนขนด้วยเลเซอร์หรือใช้แสงทำลายตำแหน่งสร้างขนโดยตรง การกำจัดขนรักแร้ด้วยเลเซอร์ต้องทำ 4 ครั้งขึ้นไป ซึ่งผลการรักษาจะอยู่ที่ประมาณ 6 ปี





ที่มา... Fiest Magazine 









credit : teenee.com

เทคนิคการเลือกสีผมให้ผิวสว่างสดใส



 เคยสงสัยไหมว่าทำไมทำสีผมที่คุณทำมาใหม่นั้นกลับทำให้ใบหน้าดูซูบซีดหรือ หมองคล้ำกว่าเดิม สาเหตุมาจากการที่คุณเลือกเฉดสีผมที่ไม่เข้ากับสีผิวนั่นเอง ก่อนอื่นต้องมาพิจารณาดูว่าเฉดสีผิวของคุณนั้นเป็นอย่างไร 
   
  ผิวขาวอมชมพู 
         สาวผิวสีนี้ดูมีสุขภาพดี สีผมที่เหมาะคือ เฉดสีบลอนด์ ควรเลือกสีบลอนด์ประกายหม่น หรือโทนน้ำตาลทอง และทองแดงประกายน้ำตาล แล้วเสริมด้วยการทำไฮไลต์โทนอ่อนกว่าหนึ่งระดับเพื่อช่วยให้ผิวดูไม่ซีดจน เกินไป

      
ผิวขาวอมเหลือง 
         สีผิวนี้ทำให้ใบหน้าดูซีดเซียวหรือเหนื่อยล้าไม่สดใส จึงควรเลือกทำสีผมโทนสีแดง เช่น ประกายม่วงเหลือบแดง น้ำตาลแดงประกายม่วง หรือแดงเข้มประกายแดง

      
ผิวสองสีหรือสีน้ำผึ้ง 
          เหมาะกับผมโทนสีทอง เช่น สีส้ม น้ำตาลทองเคลือบประกายทอง สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีเนื้อ หรือทำไฮไลต์สีน้ำตาลอ่อนไล่ระดับ เพื่อช่วยให้ใบหน้าดูสว่างขึ้น

     
 ผิวสีแทน ผิวคล้ำหรือผิวสีเข้ม 
          เหมาะกับผมสีน้ำตาลแก่ น้ำตาลช็อกโกแลต สีมอคค่า และควรเพิ่มประกายทองแดง หรือเพิ่มมิติด้วยไฮไลต์ไล่ระดับ เพื่อขับให้สีผิวไม่ดูคล้ำจนเกินไป

       
  แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมที่มีคุณภาพดีและมีการ บำรุงเส้นผมหลังทำสีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพผมสีที่สวยเงางาม ไม่แห้งแตกปลายจนหมดสวย


ที่มา ... คู่หูเดินทาง

















credit : teenee.com

10 อันดับ สิ่งสกปรกที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน


10. ฟองน้ำล้างจาน
ด้วยวัสดุและรูป ลักษณ์ของมันที่เต็มไปด้วยรูพรุนที่สามารถใหน้ำ อากาศ ออกซิเจน เศษอาหารเข้าไปอาศัยอยู่ จึงเป็นแหล่งชุมชนแออัดของเหล่าเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี วิธีทำความสะอาดง่ายๆก็คือ เอาไปต้มหรือให้ความร้อนผ่านไมโครเวฟซัก 60 วินาที

9. ซิ้งค์อ่างล้างจาน

เห็นสะอาดอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะสะอาด ถึงจะไม่ได้ใช้บ่อยเท่าอย่างอื่น แต่มันเป็นบริเวณที่สกปรกที่สุดในบ้าน ซึ่งแต่ละตารางนิ้วนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 500,000 ตัว วิธีทำความสะอาดขจัดคราบที่คู่ควรกับตัวเลขห้าแสนนี้ ก็คือ ใช้โซดาไฟหรือน้ำส้มสายชูราดทำความสะอาดมันซะ แล้วตามด้วยน้ำเปล่าตามไปอีกที
8. อ่างอาบน้ำอ่างอาบน้ำเป็นรังเพาะเชื้อโรคชั้นดีที่หลายคนมองข้ามไป รู้อย่างนั้นแล้วเราจึงควรทำความสะอาดมันสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย
7. รีโมททีวีอุปกรณ์บันเทิงประจำ ครัวเรือนที่เรามักจะลืมทำความสะอาดมัน ทั้งๆ ที่เราออกจะหยิบสอยใช้มันออกจะบ่อย ทำความสะอาดบ้านครั้งหน้าก็อย่าลืมหยิบรีโมทไปเช็ดถูกันบ้างนะ

6. ตะกร้าช้อปปิ้ง
ห้างสรรพสินค้ามีทุกสิ่งให้คุณเลือกสรร ฉันใดก็ฉันนั้น ตะกร้าช้อปปิ้งในห้างก็มีทุกสิ่งให้เชื้อโรคเลือกที่จะอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะมาจากสินค้าที่อยู่ในห้างเอง เช่น ของสด ของแห้ง สารเคมี หรือมาจากมือของท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน ที่พึ่งจับราวบันไดเลื่อน หรือพึ่งออกมาจากห้องน้ำห้างมา
5. ฝาที่นั่งชักโครกความจริงมันน่าจะสกปรกได้มากกว่านี้รึเปล่า แต่รู้หรือไม่ว่าฝาที่นั่งชักโครกนั้นมีการออกแบบวัสดุและพื้นผิว ให้ง่ายต่อการทำความสะอาดและยากที่เชื้อโรคจะอาศัยอยู่ แถมเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ ในการทำความสะอาดอยู่เสมอ (ไม่เอื้ออำนวยขนาดนั้นก็ยังติด 1 ใน 10) โดยรายงานระบุว่า ทุกตารางนิ้วบนฝานั่งชักโครกมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 295 ตัว
4. โทรศัพท์มือถือ
โทรศัพท์มือถือ เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ราคาแพงสำหรับเชื้อโรคเลยก็ว่าได้ ด้วยความเป็นพื้นที่สมบูรณ์ เพียบพร้อมไปด้วยปัจจัยความเจริญของเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิอุ่นๆ เหมือนร่างกายมนุษย์ที่เชื้อโรคชอบ พร้อมซอกซอยร่องหลืบง่ายต่อการกบดานหลบหนี พร้อมพรั่งด้วยโภชนาการและอาหารจากน้ำลายและขี้ไคลมนุษย์ ถ้าโทรศัพท์มีชีวิตเราอาจต้องพามันไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดยาแทนที่จะไปมาบุญครองเพื่อไปซ่อมมันก็เป็นได้
3. คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์
คนติดคอม ติดเนทหลายๆคน คงคุ้นชินกับพฤติกรรมการกินขนมขบเคี้ยว หรือแม้กระทั่งกินอาหารมื้อหลักหน้าจอคอมพ์ หรือแม้กระทั่งสาวๆเองที่ชอบหวีผมแต่งหน้าบนโต๊ะทำงาน เวลาว่างก็เม้าท์พ่นไฟแชทหน้าเวบแคม รู้หรือไม่ ว่าคีย์บอร์ดนั้นเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี โดยเฉพาะเศษอาหาร ผิวหนัง เหงื่อไคลต่างๆ ที่ผู้ใช้คอมทำตกลงไปในคีย์บอร์ดแล้วไม่ค่อยให้ความสนใจ เนื่องจากเพราะมันตกลงไปในร่อง ทำให้ยากต่อการมองเห็นว่าสกปรกและยากต่อการทำความสะอาด เป็นที่มาว่าทำไมจึงไม่มีใครสนใจ จะทำความสะอาดกันเท่าไหร่นัก จึงทำให้คีย์บอร์ดกลายเป็นแหล่งหมักหมมเพาะพันธุ์เชื้อโรคชั้นดี รายงานระบุว่าคีย์บอร์ดที่ได้รับการสำรวจนั้นสกปรกกว่าฝานั่งชักโครกถึง 40 เท่า แต่ถึงขนาดต้องใช้วิกซอลเข้มข้น 40 เท่าราดคีย์บอร์ดเพื่อทำความสะอาดด้วยรึเปล่ารายงานไม่ได้ระบุไว้
2. สวิตช์เปิด/ปิดไฟ
"สุขภาพวันนี้...ต้องเล่นกับไฟ" วัตถุที่มนุษย์สัมผัสบ่อยมากเท่าไหร่ เชื้อโรคก็ชอบตามไปอยู่มากเท่านั้น โดยเฉพาะปุ่มสวิทปิดเปิดไฟที่ต้องกดกันอยู่ทุกวัน ผู้เชี่ยวชาญเผยทุกๆ ตารางนิ้วบนสวิตช์ไฟที่เราเอานิ้วไปโดน เชื้อโรคสามารถย้ายสำมโนครัวตามติดมือไปได้ถึง 217 ตัว
และอันดับที่ 1 คือ
1. เงิน ได้แก่ ธนบัตร เหรียญ
แบงค์ที่เราหยิบจ่ายซื้อของกันอยู่ทุกวันนี้ มีเชื้อโรคอยู่ประมาณ 135,000 ตัว ถึงจะเชื่อว่าใครๆก็อยากมีเงินเยอะๆ จะได้รวยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องสะสมเชื้อโรคไปตามความรวยด้วยนะ



credit : teenee.com

นสพ.จะหายสาบสูญในปี 2583




องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ระบุ นสพ.ในรูปแบบกระดาษจะหายสาบสูญไป และนสพ.ในรูปแบบดิจิตอลจะเข้ามาแทนที่ภายในปี 2583

          นายฟรานซิส เกอร์รี องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก หรือ ไวโป กล่าวว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะไม่มีหนังสือพิมพ์ในรูปแบบของกระดาษอย่างที่เห็นใน ทุกวันนี้ และว่าผลการศึกษาหลายครั้งก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่าหนังสือพิมพ์จะหายสาบสูญไปในปี 2583 โดยในสหรัฐ หนังสือพิมพ์จะหายไปภายในปี 2560 และว่าในสหรัฐขณะนี้หนังสือพิมพ์ที่เป็นกระดาษขายได้น้อยกว่าหนังสือพิมพ์ ดิจิตอล

          นอกจากนี้ ในหลายเมืองยังมีร้านขายหนังสือน้อยลง แต่ปัญหาสำคัญในเวลานี้ก็คือ การจัดเก็บรายได้ นายเกอร์รีกล่าวว่า การปกป้องลิขสิทธิ์เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากมีผลต่อรายได้ของบรรดานักเขียน


ที่มา 
news.voicetv

เมื่อ “เรา” ต้องการไม่เท่ากัน




 ความต้องการในที่นี้หมายถึงความต้องการทางเพศ ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายมีความต้องการทางเพศแตกต่างกันอาจก่อให้เกิดปัญหาในชีวิตคู่ได้ เพราะสัมพันธภาพทางเพศที่สมบูรณ์ควรสร้างความพึงพอใจให้แก่ทั้งคู่        บอกในสิ่งที่ต้องการ
        เป็นขั้นตอนแรกที่ทำได้ไม่ยาก โดยตัวเราเองต้องพิจารณาว่าแท้จริงแล้วความต้องการเป็นอย่างไร ต้องการสิ่งใด จากนั้นให้สื่อสารสิ่งที่ต้องการไปยังคู่ของเรา โดยพูดให้ชัดเจนและตรงประเด็นเลือกเวลาที่ทั้งคู่มีสภาวะทางอารมณ์ปกติ ไม่ใช่ช่วงเวลาที่หงุดหงิดหรือมี เรื่องบาดหมาง และสิ่งที่สำคัญคือต้องไม่ตำหนิติเตียนอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ให้พูดกันอย่างเปิดอก

        
พบกันครึ่งทาง
        บางคู่อาจต้องใช้วิธีการต่อรอง โดยมีการกำหนดแผนการในเรื่องความต้องการทางเพศร่วมกันไว้ จากนั้นก็ทำตามแผน แต่หากทำตามแผนแล้วไม่ได้ผล อาจต้องมีการต่อรองและสร้างแผนร่วมกันใหม่อีกครั้ง แม้คนสองคนจะมีความต้องการทางเพศที่แตกต่างกัน แต่การต่อรองและร่วมกันประนีประนอมเพื่อหาจุดตรงกลางที่ลงตัวก็จะทำให้ทั้งสองมีความสุขร่วมกัน ได้
       ปัญหาทางอารมณ์
        นอกจากสำรวจตัวเองในเรื่องความต้องการทางเพศแล้วสิ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการทางเพศ อาจเป็นเรื่องความล้มเหลวในเรื่องเซ็กส์ที่เคยผ่านมา จนทำให้รู้สึกกังวล ไม่มั่นใจในการที่จะสร้างสัมพันธภาพครั้งใหม่ ดังนั้นจึงต้องสำรวจอารมณ์ของตัวเองร่วมไปด้วย แต่ อย่างไรก็ตาม อย่าปล่อยให้อดีตทำร้ายปัจจุบันและอนาคตกับคนที่เรารัก

       
เหนื่อย หรือ แค่เบื่อ
        เมื่อสำรวจตนเองและพบเหตุผลที่ส่งผลต่อ สัมพันธภาพแล้ว ลองถามตัวเองหรือคู่ของเราว่า จริงๆ แล้วเรารู้สึกเหนื่อยเกินไปหรือแค่รู้สึกเบื่อ เพราะบางครั้งอาจต้องตั้งคำถามว่าอีกฝ่ายหนึ่งทำให้เราเกิดอารมณ์ได้หรือไม่ ถ้าไม่เคยทำให้เกิดอารมณ์ได้เลย อาจต้องลองเล้าโล้ม หรือเพิ่มบทยั่วยวนกันและกันให้มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อรสชาติของการมีเซ็กส์

      
เซ็กส์ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตคู่
         ไม่ปฏิเสธว่าเซ็กส์เป็นองค์ประกอบสำคัญหนึ่งของสัมพันธภาพของคนสองคน แต่เซ็กส์ก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักของสัมพันธภาพเพราะเซ็กส์คือสิ่งสะท้อนถึงความรัก ความเอาใจใส่ต่อกัน คู่รักอาจจะนอนกอดกันได้ทั้งวันโดยไม่ต้องมีการร่วมรักกันเลยก็ได้ เพราะนั่นก็ให้ความสุขกาย สุขใจได้เช่นเดียวกับการมีเซ็กส์

       
ความรักที่จริงใจ
         ไม่ได้มาจากการมีเซ็กส์กันบ่อยครั้ง แต่ความรักขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ และพูดจากันอย่างเข้าอกเข้าใจ ซึ่งจะทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้นในจิตใจของคนทั้งสองฝ่ายเมื่อ "เรา" ต้องการไม่เท่ากัน

















ที่มา ... I DO









































credit : teenee.com

8 วิธี แก้ปัญหาชวนทะเลาะให้ตรงจุด



ในเส้นทางชีวิตที่เรียกว่าความรักนั้น แน่นอนว่ามันไม่ได้ราบเรียบเสมอไป ย่อมพบอุปสรรคบ้าง บางคู่ยิ่งทะเลาะกันก็ยิ่งรักกัน แต่ไฉนบางคู่พอทะเลาะกันกลับกลายเป็นเลิกกันไปเสียนี่ บางทีเขาเหล่านั้นอาจยังไม่ได้ลองใช้ความพยายาม ที่จะปรับความเข้าใจ จูนคลื่นกันให้ติดเหมือนเดิม ก่อนที่ความผิดใจจะสร้างรอยร้าวให้รัก ลองมาพยายามทำความเข้าใจซึ่งกันและกันดูดีกว่าค่ะ
1. จับจุดให้ตรงปัญหา
         หากคุณเป็นอีกหนึ่งคู่ที่มักมีเรื่องทะเลาะผิดใจกันครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งต่อไปก่อนที่จะทะเลาะถกเถียงกัน หยุดสักนิดแล้วคิดดูซิว่า อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำคุณต้องมาทะเลาะกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่าง นี้ แก้ปัญหาที่สาเหตุดีกว่ามัวมาทะเลาะกันถึงผลที่ปรากฏออกมาแล้ว เพราะอย่างไรสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่หากคุณแก้ได้ที่สาเหตุของมัน ก็เท่ากับว่าตัดต้นตอตัวที่จะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในครั้งต่อไปได้

2. พูดคุยอย่างเปิดอก

          นี่อาจเป็นคำแนะนำอีกประการหนึ่งที่คุณได้พบได้เห็นได้อ่านผ่านตาบ่อย ๆ แต่มันจะไม่มีความหมายเลย หากคุณไม่ได้ลองทำ หลาย ๆ ครั้งที่เราเกิดน้อยใจ หรือไม่พอใจอะไรแล้วก็เก็บเงียบเอาไว้ไม่ยอมบอกอีกฝ่าย ด้วยคิดว่าเงียบ ๆ ไว้ดีกว่าไม่อยากพูดมากเดี๋ยวจะทะเลาะกัน แต่การเงียบงันเอาไว้แบบนี้นี่เอง ที่สุดท้ายกลายเป็นระเบิดลูกโต เมื่อระเบิดขึ้นมาทีมีแต่แย่กับแย่
         
           ในการที่คุณคิดว่าเงียบ ๆ เอาไว้ดีกว่า ไม่อยากพูดให้มีปัญหา แม้จะใช้ได้ผล (ว่าไม่เกิดปัญหาในขณะนั้น) แต่ก็เป็นการสะสมปัญหา ประการแรกคือคุณต้องเปลี่ยนความคิดตัวเอง ที่ว่าพูดออกไปแล้วเดี๋ยวจะทะเลาะกัน เป็นหากเราไม่ชอบใจก็ต้องบอกให้อีกฝ่ายทราบว่าเรานึกคิดอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องที่พูดเพื่อชวนทะเลาะ แต่เป็นเรื่องที่พูดคุยเพื่อให้มีความเข้าใจตรงกันมากกว่า หันมาพูดคุยอย่างเปิดอกตั้งแต่ตอนนี้ เป็นการตัดตอนปัญหาที่อาจจะสะสมไปแสดงผลในวันข้างหน้าค่ะ


3. ไม่เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยคำพูดแทงใจดำ          หลายครั้งทีเดียวที่เราได้ยินคนที่ทะเลาะกันพยายามสรรหาคำพูดมาว่าอีกฝ่าย ให้เจ็บแสบ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกชื่อด้วยคำหยาบคาย ขุดเรื่องน่าอาย หรือเรื่องที่เขาไม่อยากนึกถึงขึ้นมาพูด แน่นอนที่สุดว่ามันทำให้รู้สึกสาสมใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายถึงกับสะอึก หรือโมโหจนหน้าดำหน้าแดงกับคำพูดเช่นนี้ แต่นั่นจะมีประโยชน์อะไรเล่า เมื่อคำพูดเหล่านี้มีแต่ทำให้สถานการณ์มันแย่ลง ๆ และนำไปสู่ความแตกหักเท่านั้น ระงับความโกรธโมโห ณ ขณะนั้น แล้วกัดฟันไม่ให้คำพูดเหล่านั้น หลุดออกมาได้จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง

4. คิดก่อนพูด
          สืบเนื่องมาจากด้านบน ไม่มีอะไรน่าเสียใจยิ่งกว่าการพูดคำพูดที่ไม่ได้กลั่นกรองออกมาจากสมอง ไปกระทบจิตใจอีกฝ่าย ยามโดนว่าอะไรมา ก่อนที่จะตอกกลับสวนไปในทันทีทันควัน หยุดคิดสักนิดแล้วให้สมองได้ฉุกสกัดเอาใจความที่อีกฝ่ายต้องการสื่อออกมาให้ ได้ก่อน หากมันเป็นเพียงคำพูดที่เขาพูดมาด้วยอารมณ์ก็คงป่วยการที่จะไปต่อล้อต่อ เถียงด้วย คุณอาจเป็นฝ่ายเงียบเสียก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ตาม ดีกว่าปล่อยให้วาจาที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองหลุดออกมาทำร้ายคนที่คุณรัก และมันจะกลับมาทำร้ายให้คุณเสียใจในภายหลังด้วย

5. ไม่ใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือ
          เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กกลายเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการระบาย อารมณ์ไปแล้ว การตั้งสเตตัสประชดแฟน หรือเข้าไปโพสต์ในหน้าวอลล์ของอีกฝ่าย คงไม่ใช่เรื่องดี เป็นการประกาศความเคลื่อนไหวในความสัมพันธ์ของคุณทั้งสองให้ใคร ๆ รู้ไปทั่ว อย่างน้อยก็เพื่อน ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายของคุณหรือเขา ทั้ง ๆ ที่เรื่องแบบนี้มันน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคนไม่ใช่หรือ หากจะคุยกันมาเจอกันซึ่ง ๆ หน้าหรือว่ายกหูโทรศัพท์คุยกันยังจะดีเสียกว่า

6. ฟังกันมากขึ้น
          นอกจากจะคุยกันให้มากขึ้น ยังต้องฟังกันให้มากขึ้นด้วย แต่ละคนย่อมมีปัญหาต่าง ๆ กันไป บางเรื่องที่เราคิดว่าไม่น่ามีอะไร แต่ความจริงแล้วอาจจะเป็นปัญหาของอีกฝ่ายก็ได้ ลองหันมาฟังความคิดเห็นของกันและกันให้มากขึ้น นอกจากจะฟังตอนเขาตั้งใจพูดให้เราฟังแล้ว ลองฟังแบบเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากบทสนทนาในชีวิตประจำวันดูด้วย หากเขารู้ว่าคุณเองก็ตั้งใจที่จะเรียนรู้ปัญหาของเขาแบบนี้ ต่อให้รู้สึกโกรธก็คงไม่จบลงด้วยการทะเลาะผิดใขกันแน่นอน

7. ไม่เรียกร้องต้องการสิ่งใดจากอีกฝ่ายมากเกินไป
          การเป็นคนรักกันแน่นอนว่าย่อมมีอะไรพิเศษให้แก่กันมากกว่าคนทั่ว ๆ ไป แต่คงไม่ดีหากสิ่งนี้กลายเป็นความคาดหวังว่าคุณจะต้องได้สิ่งพิเศษ ๆ และเรื่องดี ๆ จากเขาเสมอไป โดยที่ตัวคุณเองก็ไม่เคยให้อะไรกลับคืนไปแก่เขาด้วยซ้ำ หากควบคุมความรู้สึกเรียกร้องต้องการนี้ของตัวเองได้ รับรองว่าความรักคุณจะราบรื่นขึ้นแน่นอนค่ะ

8. ให้เวลาแก่กันมากขึ้น

          อีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่กลายเป็นเหตุชนวนของความไม่เข้าใจกันก็คือ ต่างคนต่างไม่มีเวลาให้กัน เพียงหนึ่งข้อเดียวนี้สามารถนำมาซึ่งปัญหาใหญ่หลาย ๆ อย่างตามที่กล่าวมาข้างต้นได้ หากคนรักกันไม่มีเวลาให้กัน ก็คงไม่มีเวลาที่จะพูดหรือฟังกันอย่างเข้าใจได้แน่นอน แบ่งเวลาหลังเลิกงานนั่งกินข้าวเย็น หรือเดินเล่นด้วยกัน เพียงสักนิดเท่านี้ก็ช่วยดึงให้คุณทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น..ทั้งตัวและ ใจเลยทีเดียว
ที่มา : meedate.com
ภาพประกอบจาก : Google Search