วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

20 วิธีรักษาสุขภาพใจเมื่อชีวิต "ล่ม"



คุณเคยประสบเหตุการณ์ "ชีวิตล่ม' หรือไม่ ช่วงเวลาที่คุณรู้สึกว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้วในชีวิต หัวใจปวดชาและไม่ว่ามองไปทางไหนก็เหมือนมีหมอกซึมเศร้าครอบคลุมไปทั่ว คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักธุรกิจพันล้านจึงประสบเหตุการณ์เช่นนี้ การสูญเสียบุคคลที่รัก หรือการต้องผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายก็เพียงพอที่จะให้ทำคุณสงสัยว่าคุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือ ?

ดอกเตอร์ซูซาน ซอกกลิโอ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา แนะนำ 20 วิธีต่อไปนี้ เพื่อให้คุณสามารถทำใจและก้าวไปข้างหน้ากับชีวิตได้

1. ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง อย่าพยายามผลักอารมณ์หรือความรู้สึกออกไป ขั้นแรกของการรักษาสภาพจิตใจก็คือการที่คุณแยกแยะอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ความรู้สึกผิด หรือความรู้สึกอื่นๆ จงยอมรับเมื่อมันเกิดขึ้น

2. กำหนดเวลาสงบ ทำหน้าที่ในแต่ละวันของคุณให้เสร็จ และกำหนดเวลา 15 นาทีในแต่ละวันให้เป็นเวลาสงบ ควรจะเป็นเวลาเดียวกันทุกวันหากทำได้ ระหว่างวันควรให้เวลาตนเองได้อยู่เงียบๆเช่นไปเดินเล่นคนเดียว หรือเขียนบันทึก

3. แสดงความรู้สึกของคุณออกมา ให้สังเกตุและศึกษาอารมณ์ของตัวเอง แล้วถ่ายทอดออกมา ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบันทึก บทกลอน จดหมาย หรือการวาดภาพ

4. สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือเข้ากลุ่มกับผู้ที่มีประสบการณ์เดียวกันเพื่อแชร์ความรู้สึกของคุณ เปิดกว้างต่อความรักและความห่วงใยที่มีอยู่รอบตัวคุณ อย่าคิดว่าคุณอยู่ตัวคนเดียว

5. สร้างเครื่องเตือนความทรงจำ หากคุณสูญเสียคนที่เป็นที่รักไป ให้ทำสิ่งเล็กๆน้อยที่ช่วยให้คุณระลึกถึงผู้ที่จากไป เช่น คุณอาจจะจัดทำสมุดบันทึกภาพหรือวิดีโอเกี่ยวกับผู้ซึ่งจากไป แล้วแจกจ่ายให้เพื่อนหรือญาติๆ

6. สร้างสิ่งอุทิศกับสิ่งที่คุณเสียไป ซึ่งอาจจะเป็นบ้านหรือตึกที่ทำงาน โดยการทำอัลบั้มภาพรวมเรื่องราวที่มีความหมายพิเศษ

7. หาวัตถุแทนค่าทางใจ อาจเป็นสิ่งของที่มีความหมายพิเศษและทำให้คุณรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่คุณสูญเสีย ซึ่งจะเป็นสิ่งที่คุณจะทนุถนอมไว้ในใจตลอดไป

8. ถ่ายทอดความรัก หนึ่งในการให้เกียรติชีวิตที่สูญเสียไปก็คือ การถ่ายทอดและเผือแผ่ความรักไปยังผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม ให้กำลัง หรือเป็นที่ปรึกษาใหัผู้อื่นเพื่อสร้างความรู้สึกทางบวกให้ตนเอง

9. ทำกุศลกรรมในชื่อของคนรักของคุณที่จากไป คุณอาจจะก่อตั้งมูลนิธิหรือกองทุนเพื่อสิ่งที่ผู้ที่จากไปนั้นรัก หรือให้ความสำคัญ

10. แสดงความมีน้ำใจในที่ทำงาน หากคุณสูญเสียเพื่อนร่วมงาน คุณอาจจะทำโดยไม่ต้องออกชื่อก็ได้

11. บอกเล่าเรื่องราวของคุณ เพื่อว่าผู้อื่นที่ประสบเหตการณ์เดียวกันจะได้ไม่รู้สึกเดียวดาย

12. กอดและปลอบโยนผู้ซึ่งกำลังเศร้าโศกจากการสูญเสีย

13. ช่วยเหลือ เช่นการรับเอาสัตว์จรจัดมาเลี้ยง

14. สนุกสนานกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่นการแสดงดนตรี หรือเกมกีฬา

15. พูดคำขอบคุณให้มากขึ้นที่โต๊ะอาหาร

16. กอดลูกๆ ของคุณ ไม่ว่าพวกแกจะโตแค่ไหนแล้วก็ตาม

17. มีความอดทนกับทุกๆคนที่คุณพบให้มากขึ้น

18. แสดงความรักให้บ่อยขึ้น

19. กำหนดมุมมอง ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

20. ใช้ชีวิตให้เต็มที่ทุกวันอย่างมีค่าและมีความหมาย

มันเป็นเรื่องง่ายและ 'สะดวก' ที่จะปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงไปในความเศร้าโศกเมื่อชีวิตคุณผ่านประสบการณ์อันเลวร้าย การทำใจและมีชีวิตต่อไปนั้นเป็นเรื่องยากและต้องใช้ความพยายามอย่างสูง ทว่าเมื่อคุณสามารถก้าวผ่านพ้นช่วงเวลาอันมืดครึ้มไปได้สำเร็จ คุณจะพบว่าชีวิตนั้นยังมีสิ่งน่ารื่นรมย์ที่จะช่วยให้คุณก้าวต่อไปได้อย่างมีความสุข

credit : pooyingnaka.com

วิธีขับไล่ความโกรธเกรี้ยว



แม้ว่าอารมณ์โกรธจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แถมสาวซิตี้เกิร์ลอย่างเราๆ ยังต้องพบเจอกับมันบ่อยๆ จนเกือบจะกลายเป็นเพื่อนสนิทอีกต่างหาก ก็จะไม่ให้เจอได้ยังไงเล่าคะ ทั้งสภาวะรอบตัวก็แสนจะกดดัน ผู้คนก็ใจร้ายขึ้นทุกทีๆ หลายๆ สาวเลยมีริ้วรอยแห่งความโกรธขึ้งปรากฏอยู่บนใบหน้าไม่เคยจาง อย่างนี้หนุ่มๆ เห็นเข้าคงรีบกระโดดหนี ไม่กล้าเข้าใกล้แหงๆ เพราะกลัวแม่เสือ

สาวจะออกอาละวาดน่ะสิ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ลุคนางฟ้าแสนดีที่สั่งสมมานานนั้นต้องสูญเสียไป แล้วกลายเป็นสาวคราบนางมารร้ายละก็ เรามาหาวิธีการดับอารมณ์โกรธให้มอดไปจากใจกันดีกว่าค่ะ

ผลกระทบจากอารมณ์ร้ายในใจคุณ
นอกจากที่ใบหน้าจะไม่รับแขก ไม่สนฝรั่ง หรือเมินไทยที่เด่นชัดบนใบหน้าในเวลาที่คุณโกรธไฟลุกแล้วนั้น อารมณ์โกรธที่สะสมอยู่ภายในจิตใจนานๆ ก็ยังจะก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายได้มากมาย เสมือนลูกไฟแห่งความโกรธที่ค่อยๆ สะสมขึ้นทุกทีๆ จนเผาไหม้ทั้งกายและใจคุณให้ร้อนรุ่มได้ ซึ่งผลกระทบที่มีต่อร่างกายอาจก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ดังต่อไปนี้

- โรคหัวใจ เนื่องจากอารมณ์โกรธจะกระตุ้นให้หัวใจคุณบีบตัวเร็วและแรงขึ้น
- โรคซึมเศร้า ขาดชีวิตชีวา
- โรคความดันโลหิตสูง www.pooyingnaka.com

ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ร่างกายไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ

นอกจากนี้ยังเคยมีผลการศึกษาวิจัยพบว่า หากสาวไหนที่เครียดสะสมตั้งแต่ในวัยทำงาน ก็จะมีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจในวัยกลางคนได้สูงกว่าคนปกติถึง 50 เปอร์เซ็นต์อีกด้วยละ รู้อย่างนี้แล้วต้องรีบหาทางขจัดอารมณ์โกรธด่วนเลย

ดับไฟโกรธให้มอดสิ้นด้วย 4 วิธีทรงประสิทธิภาพ
วิธีการที่จะช่วยให้คุณสามารถขจัดอารมณ์โกรธได้ดีที่สุดก็คือ การไม่โกรธ อ๊ะๆ อย่าเพิ่งงงไปค่ะว่าทำไมทางแก้มันถึงได้ขวานผ่าซากเสียขนาดนี้ แต่ที่บอกไปนั่นน่ะ เป็นวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญ หรือแม้แต่
พระพุทธเจ้าของเราเองก็อบรมสั่งสอน บอกกล่าวกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลนู่นแล้ว นั่นก็คือการระงับความโกรธ ด้วยความไม่โกรธไงล่ะ แต่ถ้าสาวๆ สมัยใหม่ยังไม่สามารถบรรลุสัจธรรมข้อนี้ได้ ก็ลองใช้วิธีการเหล่านี้ไปก่อน เพราะว่าใช้ได้ผลดีใกล้เคียงกันเชียวค่ะ

1. เข้าใจความต้องการของตัวเอง คุณควรแสดงออกซึ่งอารมณ์โกรธไม่พอใจในวิถีทางที่ถูกต้องเหมาะสม มากกว่าการระบายอารมณ์ด้วยความก้าวร้าวรุนแรง โดยคุณอาจจัดการง่ายๆ ด้วยการเข้าอกเข้าใจความต้องการของตัวเองเสียก่อน ว่าสิ่งที่คุณต้องการคืออะไรกันแน่ จากนั้นจึงหาวิธีที่จะได้สิ่งที่ต้องการมาด้วยสันติวิธี ที่ไม่ทำร้ายทั้งความรู้สึกของตัวเองแล้วก็ผู้อื่นด้วย

2. ระงับอารมณ์โกรธ หากอารมณ์คุณค่อยๆ ลุกลาม พลุ่งพล่านขึ้นเรื่อยๆ แล้วละก็ คุณก็ต้องรีบระงับอารมณ์นั้นๆ ไว้ให้เร็วที่สุด ด้วยการหยุดยั้งความคิดที่รบกวนจิตใจคุณทันที และพยายามมองไปในสิ่งที่จะช่วยให้อารมณ์ของคุณรู้สึกสดชื่นแจ่มใสมากขึ้นได้ในขณะนั้น เช่น หากคุณมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน คุณอาจหันเหความสนใจไปคิดถึงเรื่องเดทกับหนุ่มฮอตเย็นนี้แทนก็ได้ เพื่อลบความขุ่นข้องหมองใจที่มีอยู่ให้หมดไปโดยเร็ว แล้วก็แทนที่ด้วยความสดใสซาบซ่าไงล่ะคะ

3. สงบผ่อนคลาย ในเมื่อต้องการจะดับไฟให้มอด ก็ต้องใช้วิธีการรดน้ำลงไป เพราะฉะนั้นวิธีการที่จะดับไฟอารมณ์ที่รุ่มร้อนภายในจิตใจของคุณ ก็ต้องเป็นการดับอารมณ์ด้วยการเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เอาความสงบนิ่งเข้าแทนที่ภายในใจ ซึ่งคุณอาจใช้วิธีการตั้งสมาธิ หรือใช้เทคนิคการผ่อนคลายอารมณ์โกรธช่วยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกโยคะ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงปวดจากความรู้สึกโกรธ การตั้งสมาธิด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก เพื่อช่วยให้อารมณ์สงบเย็นลง หรือการมองไปที่ทัศนียภาพภายนอกที่สวยงามเขียวขจีในสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยเหล่าแมกไม้ และสายน้ำที่สงบนิ่งก็ได้

4. ออกจากสภาวการณ์ที่ตึงเครียด หากคุณไม่สามารถระงับอารมณ์โกรธขึ้งในขณะนั้นลงได้จริงๆ แทนที่คุณจะฝืนทนกดดันอยู่ภายใต้บรรยากาศและสภาวะที่ตึงเครียดเหล่านั้น จนต้องระเบิดอารมณ์ร้ายแรงออกมาในที่สุด คุณควรหลีกเลี่ยงออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้นก่อน เพื่อที่จะช่วยให้อารมณ์ที่ขุ่นเคืองของคุณค่อยๆ บรรเทาลง ก่อนที่จะกลับเข้าไปแก้ไขปัญหาด้วยความสงบ และสันติอีกครั้ง

credit : pooyingnaka.com

หลุมพรางอารมณ์ (Entrapment)

เมื่อไม่นานมานี้ดิฉันได้อ่านนิตยาสาร LIPS ปักษ์แรก กรกฎาคม 2548 และพบบทความที่น่าสนใจพอๆกับน่าทึ่งเรื่องหนึ่ง ชื่อว่าหลุมพรางอารมณ์ (Entrapment) เขียนโดย ดร.เปี่ยมสุข เมนะเศวต

หลุมพรางทางอารมณ์ที่กล่าวถึงในบทความก็คือความโกรธนั่นเอง ความโกรธนั้นถือเป็นมลพิษทางอารมณ์และสามารถผลักดันให้คนเราทำในสิ่งที่นำมาซึ่งความสูญเสียได้ หากคนๆนั้นไม่สามารถจัดการกับความโกรธและหาที่ระบายอย่างถูกต้องได้ คุณผู้หญิงหลายๆคนอาจจะประสบปัญหาต่อมควบคุมอารมณ์โกรธทำงานช้าหรือขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเวลาจับได้ว่าพ่อตัวดี แอบไปทำเจ้าชู้เรี่ยราด มีกิ๊กซุกซ่อนไว้ตามซอกตามมุมซะทั่วเมือง เป็นใครก็ยั๊วใช่มั๊ยค๊ะ แค่อาละวาดน่ะน้อยไปค่ะ...

แต่ก็ยังมีคุณผู้หญิงบางคนสามารถควบคุมและรู้จักวิธีจัดการกับความโกรธได้อย่างถูกต้อง (ผู้หญิงกลุ่มนี้ถือเป็นปูชนียบุคคลของชาติ..ควรได้รับการยกย่องเชิดชูอย่างออกหน้าออกตา) นั่นแสดงว่าคุณสามารถพัฒนาตนเองไปได้ขั้นหนึ่งค่ะ (หากได้รับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง คุณอาจจะกลายเป็นจอมยุทธผู้มีวิทยายุทธอันสูงส่งในด้านการจัดการอารมณ์โกรธ...และจะมีผู้คนมากมายมาคุกเข่าเพื่อขอเป็นศิษย์คุณค่ะ..ล้อเล่นนะค๊ะ) ขอให้คุณคงความดีงามนี้ไว้ประดุจเกลือรักษาความเค็มค่ะ เพราะว่าคนที่จะได้ประโยชน์จากการสามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ก็คือคุณนั่นเอง

แต่เนื่องจากมีคนอีกจำนวนมากที่ยังมีปัญหาในการจัดการความโกรธของตัวเอง ในประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้มีสมาคมเพื่อการจัดการบริหารความโกรธแห่งชาติ หรือ National Anger Management Association หรือชื่อย่อว่า NAMA ขึ้น ซึ่งสมาคมนี้ตั้งอยู่ที่นิวยอร์คค่ะ อุดมการณ์ของสมาคมนั้นก็เพื่อให้บริการแก่ชุมชน และผลิตการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับวิธีควบคุมอารมณ์โกรธโดยเฉพาะ โดยสมาคมมีการออกแบบโปรแกรมเพื่อควบคุมและจัดการอารมณ์โกรธของแต่ละบุคคลเป็นกรณีๆไปค่ะ

การเกิดขึ้นของสมาคมได้ช่วยเหลือคนนิวยอร์คหลายคนที่มีปัญหาในการควบคุมความโกรธให้เข้าใจธรรมชาติของความโกรธและสามารถสื่อสารความโกรธออกไปอย่างถูกต้อง อีกทั้งยังเข้าใจว่าบทบาทของอารมณ์อื่นๆนั้นก็มีอิทธิพลต่อการแสดงความโกรธของแต่ละบุคคลได้ เช่น บางคนที่เครียดร่วมกับอารมณ์โกรธ อาจจะมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่นกินข้าวมากผิดปกติหรือไม่กินข้าวเลยก็ได้

ดิฉันชื่นชมการทำงานของสมาคมนี้มาก เพราะความโกรธนั้นหากไม่ได้รับการจัดการและควบคุมอย่างถูกต้องแล้ว อาจจะนำมาซึ่งความสูญเสียมหาศาลได้อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างที่เราเห็นข่าวความรุนแรงต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมไทยอยู่ในขณะนี้ หลายๆเหตุการณ์เกิดขึ้นจากการที่คนในสังคมไม่เคยที่จะเรียนรู้ที่จะระงับอารมณ์โกรธ และขาดการสื่อสารอารมณ์โกรธออกไปอย่างถูกต้องนั่นเอง

เรามาร่วมกันก่อตั้งสมาคมควบคุมอารมณ์โกรธให้เกิดขึ้นในหัวใจเรา..คนไทยทุกคน..เถอะคะ ..เพื่อที่ว่าคำว่าสันติสุขและการให้อภัย..จะได้ไม่กลายเป็นเป็นเพียงตำนานที่เอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟังในอนาคตต่อไป...

ดัดแปลงจาก หนังสือ LIPS ปักษ์แรก กรกฎาคม 2548

บทความโดย คุณชะอมหวาน..

credit : pooyingnaka.com

หลุมพรางอารมณ์ (Entrapment)

กลวิธีคลายเครียด

ความเครียดทางอารมณ์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนไม่มากก็น้อย ความเครียดอาจจะเกิดจากปฏิกิริยาในตัวเราเอง เช่น ปวดท้องอึขณะที่ขับรถติดในชั่วโมงเร่งด่วน หรือความเครียดที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น หุ้นตก สูญเสียเงิน ถูกโกงแชร์ เป็นนายกโดนปฎิวัติ ฯลฯ


ความเครียดขนาดน้อยๆ เป็นเรื่องปกติ ไม่มีปัญหา แต่อาจจะมีประโยชน์ที่ทำให้เราพยายามเอาชนะมัน ทำให้เรามีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย เช่น เครียดเพราะกลัวสอบเอ็นทรานซ์ไม่ได้จึงทำให้ขยันเรียน แต่ความเครียดถ้ามีขนาดมากก็มีผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ความเครียดอาจจะทำให้ภูมิต้านทานโรคลดลง ทำให้เป็นหวัดง่าย เริมกำเริบ หรือในบางคนอาจจะเกิดโรคจู๋หมดน้ำยา หรือถึงขนาดฆ่าตัวตาย
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านความเครียด แนะนำหลักการลดความเครียดไว้หลายอย่าง

ขั้นแรกหาสาเหตุที่ก่อให้เกิดความเครียด
เขาให้คำนิยามของสาเหตุความเครียดไว้ว่า “มันคือภาวะที่บีบคั้นที่เกินความสามารถของเราที่จะตอบสนองได้”
ความสามารถในการตอบสนองต่อความเครียดขึ้นกับพันธุกรรม บุคลิกภาพ ประสบการณ์ของชีวิตของเรา เช่น คนบางคนอาจจะเครียดเมื่อต้องขึ้นไปร้องเพลงบนเวที แต่บางคนชอบมากเนื่องจากมีพันธุกรรมหรือบุคลิกของความไม่ขี้อายชอบแสดงออก บางคนเข้าใกล้หมาแล้วเครียดมาก เนื่องจากมีประสบการณ์โดนหมากัดตอนที่ยังเด็ก
สาเหตุของความเครียดหลายอย่างมันเห็นได้เข้าใจได้เด่นชัด เช่น พ่อหรือแม่เสียชีวิต ลูกไม่สบาย แฟนเลิกร้าง กิ๊กเลิกรา หางานทำ ไม่ได้ ถูกไล่ออกจากงาน หาเงินไม่พอใช้ เป็นหนี้พนันบอล ฯลฯ แต่ความเครียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันก็ไม่ควรมองข้าม เช่น ต้องขับรถฝ่าจราจรไปส่งหรือรับลูกที่โรงเรียนทุกวัน เพื่อนร่วมงานนิสัยไม่ดี คอมฯ มีปัญหาแฮงค์บ่อยทำให้ต้นฉบับหาย น้ำมันราคาแพง ความเครียด เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ถ้าเป็นอยู่นานๆ ก็สามารถสร้างความเสียหาย ให้กับชีวิตร่างกายหรือสุขภาพของเราได้มาก เพราะมันกระตุ้นร่างกายเราให้หลั่งฮอร์โมนความเครียดตลอดเวลาทำให้เกิดโรคขึ้น เช่น ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ แล้วตามมาด้วยอัมพาตอัมพฤกษ์

กลวิธีคลายเครียดที่ผู้รู้แนะนำไว้และคุณสามารถเลือกเอาไปใช้ได้มีหลายอย่างคือ
จดบันทึกประจำวัน
• จดบันทึกประจำวันสักหนึ่งสัปดาห์ ให้สังเกตดูว่าเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดที่เราตอบสนองทางกาย ใจ หรืออารมณ์ในทางลบ และให้จดวันเวลาของเหตุการณ์ไว้ด้วย เขียนบรรยายเหตุการณ์เอาไว้ย่อๆ เราอยู่ในเหตุการณ์ตรงไหน มีใครเกี่ยวข้องบ้าง อะไรเป็นสาเหตุของความเครียด และบรรยายถึงการตอบสนองของเราต่อความเครียดนั้นด้วย อาการทางกายของเราเป็นอย่างไร เช่น หัวใจเต้นแรง ใจสั่น เหงื่อแตก ความรู้สึกของเราเป็นอย่างไร เราพูดอะไร หรือทำอะไรลงไปบ้าง เสร็จแล้วให้คะแนนความเครียดของเราจาก 1 ถึง 5 (น้อยไปมาก)
•จดบันทึกรายการของสิ่งหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่บีบคั้นเราให้ใช้เวลาและพลังงานกับมันในหนึ่งสัปดาห์ว่ามีอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น การงานที่เราทำอยู่ งานอาสาสมัคร ขับรถพาลูกไปเรียนพิเศษ ดูแลพ่อหรือแม่ที่แก่เฒ่า เสร็จแล้วให้คะแนนความมากน้อยของความเครียดที่ เราประสบจาก 1 ถึง 5 เหมือนข้างบน
หลังจากนั้นเราก็มานั่งพิจารณาสิ่งที่เราจดบันทึกไว้ พิจารณาสิ่งที่เราคิดว่าทำให้เราเครียดมากๆ แล้วเลือกขึ้นมาอย่างหนึ่งเพื่อทำการวิเคราะห์โดยใช้เทคนิคที่ใช้แก้ปัญหาดังนี้

ปรับปรุงทักษะการใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทักษะนี้สามารถทำให้คุณเก่งในการแยกแยะเป้าหมาย และให้ความสำคัญก่อนหลัง ของสิ่งที่เราต้องทำซึ่งจะช่วยลดความเครียดในชีวิตได้ ให้ใช้ทักษะต่างๆ ดังต่อไปนี้ช่วยลด ความเครียด
• สร้างความคาดหมายที่เป็นไปได้จริงและขีดเส้นตายให้กับงานที่เราจะทำและทำการตรวจสอบความก้าวหน้าเป็นประจำ
• จัดระเบียบบนโต๊ะทำงาน กำจัดกระดาษที่ไม่มีความสลักสำคัญโดยการโยนมันทิ้งไป
• เขียนรายการแม่บทของสิ่งที่เราต้องทำก่อนหลังประจำวันแล้วทำตามนั้น
• ตลอดทั้งวันที่ทำงานหมั่นเช็ครายการ แม่บทที่เราทำไว้ ว่าเราได้ทำเสร็จไปตามลำดับก่อนหลังที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า
• หัดใช้สมุดนัดที่เขาเรียกว่าแพลนเนอร์เพื่อจดบันทึกสิ่งที่เราวางแผนจะทำล่วงหน้า เป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปี หรือเขียนรายการแม่บทตามที่กล่าวข้างบนนั้นเป็นรายการที่ต้องทำก่อน-หลังประจำวัน ลงบนแพลนเนอร์ด้วย แล้วทำไปตามนั้น และทำการประเมินผลประจำวัน จะเกิดผลดี ไม่เกิดความยุ่งยาก สับสน ผิดนัด ใช้แพลนเนอร์เก็บเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของคนสำคัญหรือลูกค้าเพื่อความสะดวกใน การค้นหาติดต่อ ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ผิดพลาดเสียเวลาน้อยลง มีเวลาทำงาน อย่างอื่นหรือรื่นเริงมากขึ้น
• สำหรับการทำงานหรือโครงการที่มีความสำคัญมากให้กันเวลาที่ห้ามใครมารบกวนไว้ต่างหากเพื่อ การทำงานที่ต่อเนื่องและเป็น ความลับ

หลีกเลี่ยงความเบื่อหน่ายหมดไฟในการทำงาน
ถ้าคุณมีความรู้สึกหมดไฟ ไม่อยากทำงาน หรือเครียดมากเป็นเวลานานเป็นสัปดาห์ ความรู้สึกนี้จะมีผลต่อความสัมพันธ์ในทางอาชีพและในชีวิตส่วนตัวหรือในการทำมาหากินของคุณได้
ความอัดอั้นตันใจที่มากล้น ความรู้สึกเมินเฉยต่อการงาน ความหงุดหงิดรำคาญใจเป็นเวลายาวนาน ความขุนเคืองใจ และมีความโน้มเอียงที่จะโต้เถียงเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวชี้บ่งถึงอาการหมดไฟในการทำงาน ซึ่งจำเป็นต้อง ได้รับการจัดการเยียวยาให้มันดีขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเขาแนะนำกลยุทธในการต่อสู้ดังนี้
• ดูแลตัวเองให้สุขภาพดี กินอาหารให้ครบห้าหมู่ กินให้ครบทุกมื้อรวมทั้งอาหารเช้า กินในขนาดที่พอประมาณ (ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม) นอนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอให้พอเหมาะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายของท่านแข็งแรง สามารถสู้กับความเครียดทางกายและใจได้ดี
• สร้างสัมพันธไมตรีกับเพื่อนในที่ทำงานและนอกที่ทำงาน หาเพื่อนสนิทที่เราสามารถบ่นเรื่องคับข้องใจปรับทุกข์เรื่องการงานให้ฟังได้ ทำให้มีหนทางในการแก้ปัญหาที่ก่อความเครียดของเราได้ หลีกเลี่ยงการคบค้ากับคนที่เรามีความรู้สึกไม่ดี คนไม่จริงใจ ไม่เป็นกัลยาณมิตรเพราะจะยิ่งจะตอกย้ำความรู้สึกย่ำแย่ให้มากขึ้น ในมงคลสูตรก็กล่าวไว้ให้คบคนดี หลีกหนีคนพาล มองหากัลยาณมิตร
•รู้จักลาพักผ่อน ลาพักร้อน วาเคชั่น บางคนอาจจะลาไปปฏิบัติธรรมฝึกวิปัสสนากรรมฐาน หรือปลีกวิเวก สำหรับคนที่ทำได้มันจะทำให้คลายเครียดลงได้มาก แน่นอน และสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ลาได้ไม่มากก็อาจจะมีการเบรคพักคลายเครียดชั่วครู่ในเวลาทำงานก็จะช่วยได้บ้าง
•ในบางกรณีจำเป็นต้องฝึกการปฏิเสธ หัด “Say No” กับเพื่อนที่มาชวนไปทำโน่นทำนี้ที่ทำให้เราเครียด เช่น เป็นสาวเป็นแส้เที่ยวแร่ไปตามที่อโคจรไปนั่งตามผับตามบาร์ ดื่มเหล้าสูบยาซึ่งเป็นท่าทีเชิญชวนให้ หนุ่มเหน้าเข้ามาโอภาปราศรัยอยากได้ปลื้ม
• หัดยับยั้งชั่งใจไม่โต้เถียงกับใครๆ โดยไม่เลือก พยายามใจเย็น มีสติ สัมปชัญญะ เถียงเฉพาะเรื่องที่มีความสลักสำคัญจริง (ไม่ใช่เรื่องทักษิณออกไป) แต่ที่ดีที่สุดคือหุบปากไม่เถียงกับใครเลย ทุกครั้งที่เถียงกันจะมีการหลั่งของฮอร์โมนความเครียดความดันเลือดพุ่งขึ้นทุกที
• ทางออกของความเครียดที่ควรหัดมีไว้คือ การอ่านหนังสือที่เราชอบ ทำงานอดิเรกที่เรารัก ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาที่เราสนุก ทำให้รู้สึกชื่นมื่นเพราะเอนดอร์ฟิน (สารสร้างสุข) หลั่งออกมา

ถ้าสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่มีผลดีต่อคุณ ก็จำเป็นต้องหาที่พึ่ง เช่น เข้าหาปรึกษาพระที่เราเคารพนับถือ เอาธรรมะเข้าข่ม หรือใช้มืออาชีพอย่างนักจิตวิทยา หรือให้จิตแพทย์ช่วยก็จะดีที่สุด อย่าลืมว่าความเครียดอาจจะทำให้ถึงตายได้ อย่าปล่อยให้มันเรื้อรังนะครับ

6 วิธีรักษา ความนับถือตัวเอง



... การปกป้อง
การปกป้องความคิดของตัวเราเองหรือการปกป้องผลงานที่สร้างสรรค์ท่ามกลางคำวิจารณ์ของหัวหน้า และเพื่อนร่วมงาน นับเป็นหนึ่งในสถานการณ์ล่อแหลม เส้นบางๆ ที่แบ่งแยกตัวคุณระหว่างการได้รับยกย่องว่าเก่ง หรือหลงตัวเอง อีโก้จัด คือการแสดงออก ถ้าเรารู้จักใช้มันให้เป็น คุณจะได้ทั้งงานที่ตัวเองภาคภูมิใจ และสามารถรักษาจุดยืนได้อย่างยอดเยี่ยม และนี่คือแนวทางที่เราอยากแนะนำเพื่อให้คุณเป็นดาวเด่นที่มีคนชื่นชม


1. ชัดเจนและมั่นใจกับตัวเอง
สรุปกับตัวเองให้จบว่างานนี้คุณตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร จุดยืนของตัวเองคืออะไร และมันดีอย่างไร คุณเชื่อและมีเหตุผลมากพอที่จะรองรับในสิ่งที่คิดหรือยัง คุณมีข้อมูลมากพอที่จะปกป้องตัวเองและงานจากการมองต่างมุมหรือยัง ถ้ายัง…พัฒนามันจนคุณมั่นใจ แล้วลุยเลย

2. ชัดเจน มั่นใจกับการกระทำ และคำพูด
แม้จะเตรียมการมาดีพอ แต่การพูดเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือคือสิ่งที่ต้องอาศัยทักษะ และประสบการณ์ สำหรับมือใหม่ สิ่งที่ดีที่สุด คือการซักซ้อมในแบบสมมุติเหมือน เล่นละคร ลองบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือมองตัวเองจากกระจก แล้วสังเกตดูว่าบุคลิกภาพของคุณดีพอหรือยัง คำพูดชัดเจน มั่นใจ และกระชับ เข้าใจง่ายไหม ถ้าไม่เข้าข้างตัวเอง วิธีการนี้จะทำให้คุณได้ขัดเกลาตัวเองก่อนลงสนาม และแน่นอนว่า คุณจะรู้สึกมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกถึง 30% ทีเดียว

3. เตรียมใจสำหรับคำวิจารณ์
สิ่งที่ต้องยอมรับ คือต่างคนต่างความคิด ดังนั้นสิ่งที่คุณนำเสนอแบบไร้ช่องโหว่ อาจมีคนคิดปลีกย่อยและหาข้อติเตียน วิจารณ์ อย่าเสียกำลังใจ อย่าโกรธ เกลียดเขา เพราะแม้บางคนจะทำด้วยอคติ แต่ก็มีหลายคนที่ทำไปโดยเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ว่าเขาจะมาไม้ไหน คุณต้องรักษาภาพความเป็นกลางและฟังอย่างตั้งใจ ยิ่งมีสติมากเท่าไหร่ ่คุณก็ยิ่งสามารถเคลียร์ข้อผิดพลาดที่พวกเขายกมาได้ดีเท่านั้น วิธีการที่ดี คือการยิ้มและค่อยๆ คิด ค่อยๆ พูดให้เนิบช้าลงสักนิด ด้วยเสียงที่นุ่มนวลและเหตุผลมาตรฐานที่ไม่มีใครคัดค้าน คล้ายๆ กับที่บอกว่า… โลกมีแรงโน้มถ่วง แอปเปิ้ลจึงตกลงพื้นนั่นแหละ

4. เตรียมใจสำหรับความผิดพลาด
กล่าวกันว่า คนที่ไม่ทำผิดคือคนที่ไม่ทำอะไรเลย ดังนั้นมันจึงเกิดขึ้นได้เสมอที่คุณอาจได้รับความผิดหวังจากความผิดพลาด สิ่งแรกที่ต้องทำคือ…ทำใจยอมรับ ในทุกสนามแข่งขัน ผู้ชนะ คือผู้ที่ลุกขึ้นเร็วที่สุดจากความผิดพลาด ดังนั้นถ้าคุณอยากแก้ตัวและมีบทสรุปแบบ Happy Ending คุณจึงต้องรีบได้คิดและออกตัวแก้ไข (ไม่ใช่ออกไข…แก้ตัว) ในสิ่งที่พลาดอย่างกล้าหาญ มีจรรยาบรรณด้วยสติปัญญา ความอ่อนโยน และใจเย็น

5. เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
บางคนต่อสู้เพื่อตัวเองมาตลอดชีวิต แต่ไม่เคยชนะ บางคนแพ้มาตลอดชีวิตแต่กลับได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในโอกาสสำคัญ การเรียกความพ่ายแพ้ว่าเรื่องอับอาย หรือบทเรียน คือกุญแจ สำคัญ การมองย้อนไปแล้วนำความผิดพลาดของตัวเองมาพินิจพิจารณา รวมทั้งการหาคำแนะนำ หรือนำประสบการณ์ วิธีของผู้ได้รับความสำเร็จมาปรับใช้กับตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่ดีและทำให้คุณสามารถพัฒนาตัวเองได้รวดเร็ว ที่สำคัญต้องเปิดใจกว้าง และปรับเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการอย่างจริงจัง และจริงใจ กล้าลองผิดลองถูก และขัดเกลาตัวเอง แล้ววันหนึ่งคุณจะได้รับ ชัยชนะในโอกาสสำคัญ

6. เปลี่ยนวิธีการแต่ไม่เปลี่ยนตัวเอง
ไม่มีสูตรสำเร็จในความสำเร็จ ที่ใช้ได้เสมอกัน เพราะทุกคนต่างกันด้วยพื้นฐานความคิด ครอบครัว ประสบการณ์ ดังนั้นการเลือกเปลี่ยนตัวเอง ต้องให้สอดคล้องกับบุคลิก ลักษณะ และข้อจำกัดในตัวคุณด้วย เช่นเดียวกับหนูซึ่งมองว่าราชสีห์นั้นยิ่งใหญ่ แต่ตัวเองกระจ้อยร่อย จะให้วางท่าสง่า ทำภูมิฐาน ก็ยิ่งชวนขบขัน แต่ถ้าใช้ความคล่องแคล่วในแบบเข้าไหนออกนั่นได้สะดวกโยธินมาพัฒนาให้ยอดเยี่ยม แม้แต่ราชสีห์ยังต้องพึ่งพิง เหมือนที่เราเคยอ่านในนิทานอีสป ดังนั้นสิ่งที่ต้องรักษาไว้เสมอ คือจุดเด่นของตัวเอง รวมทั้งความคิดที่ค้ำจุนความเชื่อมั่น แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ คือจริต วิธีการแสดงออก ที่เหมาะสมกับภาษา

ขอบคุณที่มา:GM

credit : pooyingnaka.com

นิสัยที่ทำให้สุขภาพจิตเสีย



ถ้าพูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดี องค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายไว้ว่า สุขภาพจิตที่ดี คือ ความสามารถที่จะปรับตัวให้มีความสุขอยู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ดี มีสัมพันธภาพอันดีงามกับบุคคลอื่น ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสมดุลอย่างสุขสบาย รวมทั้งสนองความต้องการของตนเองในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีข้อขัดแย้งภายในจิตใจ

ไม่ว่าใครย่อมต้องอยากมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ แต่คุณๆทราบหรือไม่ว่า คนที่ซึมเศร้า ไม่สบายใจนอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว บางครั้งก็อาจจะมาจากนิสัยส่วนตัวของคุณเองก็ได้นะ

วันนี้เราลองมาสำรวจตัวเองกันดีกว่า ว่าคุณเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ของคุณเอง เพราะมี 6 นิสัยต่อไปนี้หรือไม่

นิสัยขี้ระแวง คนที่มีนิสัยขี้ระแวงนั้นเป็นคนที่ไม่เคยไว้วางใจผู้ใดเลย ใครจะทำอะไรจะคิดอะไรก็นึกคิดไปว่าเขามีความประสงค์ร้ายกับตน คิดว่าใครๆไม่รัก ไม่ให้ความสำคัญ ไม่นับถือ ระแวงว่าจะถูกทรยศ หักหลัง คนขี้ระแวงไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สวมบทบาทใดๆ ในชีวิตก็จะทำให้บทบาทนั้นเป็นบทบาทที่มีปัญหาและคนที่ได้รับควาทุกข์นั้นก็คือตนเองและผู้ใกล้ชิด ถ้าคุณเป็นเจ้านายคุณก็จะระแวงว่างานที่มอบหมายให้ลูกน้อง อาจจะทำไม่สำเร็จ ระแวงว่าสามีจะมีเมียน้อย ภรรยาจะมีชู้ ฯลฯ นิสัยระแวดระวังนั้นเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเป็นหวาดระแวงไปซะทุกเรื่องอย่างนี้คงแย่มากกว่า

คนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง นิสัยไม่มั่นคงในตนเองมักจะสร้างความทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้จักตัวเองว่าตนนั้นต้องการอะไรกันแน่ ชอบอะไร แบบไหน ควรวางตัวแบบไหนในสังคม ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องต่างๆในชีวิตได้ ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวันจนถึงเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ๆในชีวิต นิสัยขาดความเชื่อมั่นในตนเองใช่ว่าเจ้าของนิสัยจะชอบแต่ไม่อาจลบล้างความรู้สึกด้อยในใจตนเองได้ ทั้งที่ความรู้สึกที่ว่าตนเองนั้นต่ำต้อยแต่อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้

นิสัยกล่าวโทษผู้อื่นอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ในความผิดพลาดล้มเหลวที่ผ่านมาแล้วและสิ้นสุดไปแล้วถ้าคุณเป็นคนที่คอยแต่เพ่งโทษผู้อื่น เห็นว่าความผิดของคนอื่นนั้นยิ่งใหญ่เท่าภูเขา เป็นความผิดร้ายแรงไม่มีวันที่จะให้อภัยได้ มองเห็นแต่ความไม่ดี ความไม่ถูกต้อง ความไม่เหมาะสมในสิ่งที่ผู้คนรอบข้างของคุณทำ โดยไม่ได้มองด้วยใจที่เป็นกลางและเป็นธรรม มองอย่างที่ควรจะเป็นในสภาวะการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองด้วยเหตุผล ฯลฯ ถ้าคุณมีนิสัยเช่นนี้ย่อมจะทำให้คุณทุกข์ทนและไม่มีความสุขแน่นอน เพราะคงไม่มีใครจะเป็นผู้ที่ไม่ถูกต้องดีงามสำหรับคุณทุกคนแน่

นิสัยหลีกหนีปัญหา หลีกหนีเหตุการณ์ หาทางออกให้กับตนเองอย่างผิดๆ เช่น การดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด การเล่นการพนัน โดยคิดว่าการใช้สุรายาเสพติดจะเป็นการแก้ปัญหาแต่จริงๆ แล้วกลับเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นไปอีก กับบางคนอาจเป็นลักษณะไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น พาลทะเลาะปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไขมิหนำซ้ำกลับทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนเข้าไปอีก

นิสัยมองโลกในแง่ร้าย คนเช่นนี้จะเป็นคนที่มีชีวิตแต่ละวันด้วยความหดหู่เศร้าหมองด้วยเห็นว่าผู้คนรอบตัวนั้นต่างเป็นศัตรูของตนเอง เป็นผู้ที่คอยทำลายตนเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนต่างก็เลวร้ายทั้งนั้น เป็นคนที่คิดหรือมองคนในแง่ลบ

คนที่มีจิตใจหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้น ชิงชัง ริษยา จิตใจเช่นนี้หาความสงบไม่ได้แน่ ด้วยร้อนรนอยู่ด้วยความทุกข์ที่เกิดจากความคิดร้ายๆของตนเอง ด้วยจิตอาฆาตแค้นที่ไม่ยอมอภัยและคอยคิดทำร้าย ความร้อนของไฟริษยาที่คิดว่าคนอื่นๆ ล้วนดีกว่าตนทั้งนั้น ตนนั้นต่ำต้อยนัก มีทางใดที่จะเอาชนะหรือทำให้คนที่ตนเห็นเป็นศัตรูเดือดร้อน เจ็บปวดได้ก็จะทำ ถ้าคุณมีนิสัยอย่างนี้ก็จะมีแต่ความทุกข์ร้อนไม่หยุดหย่อน

สำรวจพบเหตุแห่งทุกข์กันบ้างไหม ถ้ามีนิสัยเหล่านี้อยู่ก็ควรจะหาหนทางดับทุกข์ด้วยการ ปรับปรุงกาย ปรับปรุงใจเสียใหม่ มองโลกในแง่ดี มองคนรอบข้างอย่างเข้าใจว่าคนทุกคนล้วนแตกต่างกัน ผู้คนในโลกนี้ต่างมีนิสัยที่ดีและไม่ดีกันทุกคน มองในส่วนที่ดีของเขาหรือถ้าเป็นไปได้ยอมรับในส่วนที่ไม่ดีของเขา ปรับตัวในทางที่ถูกต้องในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ความสำเร็จในการปรับตัวที่ดีย่อมจะทำให้คุณได้รับรางวัลแห่งชีวิต นั่นคือการเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดีและชีวีเป็นสุข

credit : pooyingnaka.com

รักจากหัวใจ กับ รักจากสมอง ต่างกันอย่างไร



ถ้าใครตอบคำถามได้ว่า รักคนคนหนึ่งเพราะอะไร
นั่นเป็นรักจากสมอง สมองมักมีเหตุผลมีคำตอบ
ในการที่ต้องรัก และอาจไม่ใช่รักแท้
เพราะรักแท้ เป็นรักที่ไม่มีคำตอบ

รักจากความรู้สึก รักเพราะรู้สึกรัก สังเกตง่าย
ถ้ารักจากสมอง ชีวิตรักเหมือนอยู่ในโลกความจริง มักไม่อ่อนหวาน
ทำอะไรก็มีแผนการ มีเหตุผล มีคำอธิบายร้อยแปด

ต่างจากรักที่มาจากความรู้สึก ชีวิตเหมือนอยู่ในความฝัน
อ่อนหวาน อบอุ่น ใช้หัวใจในการตัดสิน กลายเป็นคนไม่มีสมอง...

ถ้าใครบอกว่ารักคุณเพราะอะไร
พึงจำไว้ว่ารักแท้จะไม่มีเหตุผล จะไม่มีคำว่าอะไร มาทำให้รัก
เพราะถ้าบอกว่ารัก เพราะคุณสวย เมื่อความสวยหมด อาจเลิกรักได้
หรือถ้ารักเพราะคุณเป็นคนดี
วันหนึ่งก็อ้างได้ว่า ตอนนั้นเห็นคุณเป็นคนดีได้อย่างไร...
หรือถ้ารักเพราะคุณเป็นคุณ ก็คงเบื่อที่จะหาคำอื่นมาพูด คำนี้ใช้ง่ายที่สุด...

**จงฟังคนที่บอกว่า รักคุณ และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรัก
นั่นเเสดงว่าใช้หัวใจรัก ไม่ว่าวันข้างหน้า คุณจะเป็นอย่างไร
หัวใจก็จะยังไม่มีเหตุผลในการรักอยู่ดี

จะเลือกคนที่ใช้หัวใจรัก หรือคนที่ใช้สมองรัก...ขึ้นอยู่กับคุณ

credit : pooyingnaka.com

12 เทคนิคกันสมองเหี่ยว



เรื่องของการปลุกระดมสมองให้สดชื่นแจ่มใสเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ต้องการ เพราะเมื่อสมองแจ่มใส ปลอดโปร่ง อะไรก็ดีตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การฟัง พูด อ่าน เขียน จดจำ หรือความคิด

กลับกัน หากสมองเหี่ยว ฝ่อ ไม่สดใส อาจจะเกิดจากความเครียด หรือการหมกมุ่นกันเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ หรือ ขาดการพักผ่อน ทักษะดังกล่าวก็จะลดน้อยถอยไป กรรมวิธีที่จะทำให้สมองแข็งแรงไปอย่างยืนยาวนั้น สถาบันดีสปายน์ไคโรแพรคติก เทคนิคมาแนะนำ

1. ดื่มน้ำให้พอ เพราะสมองของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 85% ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดน้ำ สมอง ก็จะทำงานช้าลง ทำให้กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก

แต่การดื่มน้ำนั้นแต่ละคนจะมีความต้องการน้ำไม่เท่ากันขึ้นอยู่กันน้ำหนัก และพฤติกรรมต่างๆ ทั้งการเคลื่อนไหว และการบริโภค แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตร ส่วนเด็ก 2-3 ลิตร

2. หายใจลึกๆ ช่วยส่งพลังงานไปถึงสมอง ถ้านั่งหายใจ หลังก็ควรจะตั้งตรง จะช่วยให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และถ้านั่งนานเนไปควรเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเส้น ยืดสาย เพื่อให้ปอดขยาย

3. เลือกรับประทานอาหาร ที่มีไขมันดีทดแทนไขมันในสมองที่สึกหรอ อาทิ น้ำมันปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย ปลาแซลมอน อีฟนิ่งพริมโรส วิตามินซี

4. ตั้งโปรแกรมให้สมอง โดยใช้ความตั้งมั่นตั้งใจอย่างจริงจัง สมองจะค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้ไปสู่เป้าหมายได้

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ไปกระตุ้นพลังออร่าให้สว่างสดใสจะช่วยดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

6. ฝึกสมาธิพัฒนาอารมณ์ให้สมองผ่อนคลาย จะช่วยทำให้มีจินตนาการมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำได้ทั้งตื่นเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน

7. ออกกำลังกาย กระตุ้นการทำงานของสมองพร้อมกับดื่มน้ำบ่อยๆ

8. หาอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต เช่น รู้จักคนใหม่ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ ขับรถเส้นทางใหม่ หรือแลกเปลี่ยนทัศนคติใหม่ๆ กับเพื่อน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นดอร์ฟิน) และสารแห่งการเรียนรู้ โดปามีน ทำให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างมีความสุข

9. รู้จักให้อภัยและลดความโกรธ จะทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง และยังเป็นการช่วยลดภาระให้กับสมอง

10. พูดเรื่องดีๆ กับตัวเองซ้ำๆ ให้เกินวันละ 100 ครั้ง

11. บันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงในสมุดบันทึก ช่วยทำให้สมองคิดในเชิงบวก ทำให้หลับฝันดี มีสมาธิ

12. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงเวลา 21.00 น. จะเป็นช่วงเวลานอนที่ดีที่สุด

เรื่องนี้ไม่ใช่เหมาะสำหรับเด็ก แต่เป็นเรื่องที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถปฏิบัติได้เป็นการยืดอายุสมอง ให้อยู่กับเราไปได้นานเท่านาน!!

credit : pooyingnaka.com

งาน...เครียด สู่โรคหัวใจ ภัยคุกคามใกล้ตัว



ถ้าจะพูดถึงโรคร้ายที่คร่าชีวิตประชากรโ7ลกในอันดับต้นๆ “โรคหัวใจ” จะต้องถูกหยิบยกออกมาพูดถึงกันอยู่เสมอ โรคหัวใจเป็นโรคที่หลายคนรู้จักชื่อกันเป็นอย่างดี แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าการใช้ชีวิตประจำวัน ของเราเสี่ยงกับการเป็นโรคหัวใจแค่ไหน โดยเฉพาะกับกลุ่มคนทำงานในปัจจุบันที่ต้องเผชิญกับความเครียด อยู่บ่อยครั้ง แล้วจะมีวิธีกำจัดความเครียดได้อย่างไร ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลนนทเวชมีวิธีที่ช่วยให้ห่างไกลจากโรคหัวใจที่เกิดจากความเครียดได้

โรคหัวใจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจโต ลิ้นหัวใจโตผิดปกติหรืออาจเกิดจากเยื่อหุ้มหัวใจมีความผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน ความเครียด สูบบุหรี่และดื่มสุราจัด แต่ที่จะพบได้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของคนไทย โดยมีอัตราเสียชีวิตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4 คนต่อ 1 ชั่วโมง เกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและหัวใจวายเฉียบพลัน ที่สำคัญที่สุดผู้ป่วยมักจะไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคดังกล่าว เนื่องจากโรคนี้มักไม่แสดงอาการ สำหรับอาการบ่งชี้โดยทั่วไปมักมีอาการ จุกเสียด เจ็บแน่นหน้าอกหรือบริเวณลิ้นปี่ เหนื่อยง่าย แขนขาบวม นอนราบไม่ได้ ใจสั่น บางครั้งอาจหมดสติได้โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะพบในเพศชายอายุ 40 ปีขึ้นไปหรือเพศหญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่สำหรับความเครียดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจได้

ทุกวันนี้ความเครียดก็ส่งผลให้ผู้คนเป็นโรคหัวใจกันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงาน ผู้บริหาร ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ที่จะใช้เวลาอยู่กับงานค่อนข้างมาก เผชิญกับความเครียด ไม่มีเวลาพักผ่อนและ ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ น้ำหนักตัวมากขึ้นจนเพิ่มภาระให้กับหัวใจ และอาจนำไปสู่โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้เช่นกัน เมื่อความเครียดเกิดขึ้นร่างกายจะสร้างสารที่เรียกว่า “อะดรีนาลิน (ADRENALINE) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น ทำให้หลอดเลือดตีบตัว เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ นอกจากนี้ อาจก่อให้เกิดความดันโลหิตสูง และเพิ่มปริมาณไขมันในเลือดให้สูงขึ้น

วิธีกำจัดความเครียดด้วยวิธีง่ายๆ คือ
- หาวิธีพักผ่อนหย่อนใจ ไปท่องเที่ยว ดูหนัง ออกกำลังกาย พูดคุยกับเพื่อนสนิท
- คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและถามความรู้สึกตัวเอง
- พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา การสูบบุหรี่ ใช้เวลากับครอบครัวหรือเพื่อนสนิทที่คอยให้กำลังใจได้ตลอดเวลา

อย่าลืมว่าโรคหัวใจไม่ใช่โรคไกลตัวอีกต่อไป นอกเหนือจากการรักษาสุขภาพกายให้สมบูรณ์แข็งแรงแล้ว สุขภาพใจก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ห่างไกลโรคได้ แล้วหัวใจที่แข็งแรงจะอยู่กับเราไปอีกนาน

ที่มา โรงพยาบาลนนทเวช

credit : pooyingnaka.com

นักวิจัยเชื่อ จิตสบาย กายแจ่มใส



การที่เราป่วย แล้วพยายามคิดในแง่ดีว่ากำลังจะหาย อาจไม่ได้เป็นเพียงการหลอก หรือปลอบใจตัวเอง เมื่อผลวิจัยของนักวิชาการหลายสำนัก ยอมรับว่า การมองโลกในแง่ดี สามารถทำให้คนเราหายป่วยได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา

การจ่ายยาจำพวกแป้ง หรือก้อนน้ำตาล อาจกลายเป็นหนึ่งในแนวทางการรักษาโรคง่ายๆจำพวกปวดหัวในโลกอนาคต เมื่อผลการศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน พบว่า การจ่ายยาหลอกที่ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อร่างกาย สามารถรักษาอาการป่วยบางประเภทได้ โดยใช้เพียงความน่าเชื่อถือ, ความสัมพันธ์ และความเชื่อใจระหว่างผู้ป่วยและคนจ่ายยา

นิตยสารอิโคโนมิสต์ เปิดเผยผลการวิจัยว่า แพทย์บางรายไม่จำเป็นต้องจ่ายยา ที่ให้ผลในเชิงเทคนิค เพียงสามารถกระตุ้นให้คนป่วยรู้สึกและเชื่อว่าเขากำลังจะหาย ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยรายนั้นมีอาการดีขึ้น เช่นเดียวกับรายงานจากเว็บไซต์ทางการแพทย์ เว็บเอ็มดี ที่กล่าวว่า ผลกระทบของการจ่ายยาหลอกไม่เพียงสามารถรักษาอาการป่วย แต่มันยังมีผลกระทบต่อจังหวะการเต้นของหัวใจ, ความดัน, ระบบการย่อยอาหาร หรือสิ่งต่างๆภายในร่างกาย ที่เราไม่สามารถควบคุมได้

ขณะเดียวกัน รายงานที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์วารสารทางแพทย์ โปรส์ วัน อ้างว่า การฉีดยาหลอก จะให้ผลได้ดีกว่าการจ่ายยาหลอก ขณะที่การผ่าตัดหลอกจะให้ผลต่อตัวผู้ป่วยได้ดีที่สุด แต่สิ่งที่น่าประหลาดคือ ผู้ป่วยบางรายมีอาการดีขึ้น แม้แพทย์จะอธิบายว่า การเข้ารับรักษานั้นเป็นเพียงการรักษาแบบหลอก

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างตัวผู้ป่วยกับแพทย์ เป็นส่วนที่มีผลต่อการรักษาด้วยกระบวนการรักษาแบบจ่ายยาหลอกมากที่สุด โดยนายแพทย์ ชาร์ลส์ เรซัน คอลัมนิสต์ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น กล่าวว่า อารมณ์ความรู้สึกและความเชื่อใจระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษา ซึ่งสามารถสังเกตได้จากผลของการประสบความสำเร็จ ในแนวทางการรักษาแบบทางเลือก ที่ผู้ป่วยมีโอกาสพูดคุยและได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เป็นเวลานานกว่า การรักษาจากแพทย์ตามโรงพยาบาล ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันและกัน นำไปสู่การเชื่อถือ ที่ให้ผลการรักษาในทำนองเดียวกับการจ่ายยาหลอก

เทคโนโลยีที่พัฒนาในโลกปัจจุบัน เริ่มเผยให้เห็นความจริงที่น่าสนใจบางประการของชีวิต เมื่อเราสามารถพัฒนาสารเคมีที่บรรเทาอาการปวดได้อย่างชะงัก จากทุนงบประมาณการวิจัยหลายพันล้านบาท ก่อนจะมาพบว่า บางครั้ง ธรรมชาติได้มอบทางออกให้แก่มนุษย์ ใกล้ตัวและง่ายดายกว่านั้น



Produced by VoiceTV

credit : pooyingnaka.com

ความจำสั้นสัญญาณเตือนจากสมอง



“เอ๊ะ กุญแจรถอยู่ไหน” “ปิดแก๊สหรือยัง” “ลืมรหัสเอทีเอ็ม” อาการขี้ลืมแบบนี้สร้างความรำคาญจนกลายเป็นความกังวลว่า ตนเองอาจเป็นโรคสมองเสื่อม จึงไปขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อคลายความกังวลใจ ได้ความว่า

เข้าใจกับความเสื่อม คุณหมออธิบายว่า สมองเสื่อมเกิดจากหลายสาเหตุและที่สำคัญ ใช่ว่าจะเกิดกับ
ผู้สูงอายุเท่านั้น ในคนหนุ่มสาวก็เกิดได้ โดยอาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม การติดเชื้อของสมอง โรคหลอดเลือดสมอง สารพิษ หรือแม้กระทั่งอุบัติเหตุ
โดยทั่วไปคนไข้มักเข้าใจว่า ภาวะสมองเสื่อม คือ การมีความจำแย่ลง ความจริงยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย
เช่น บุคลิกภาพเปลี่ยนพฤติกรรมการรับรู้สิ่งใหม่ๆ เสื่อมถอย ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นเรื่องยาก เช่น ลืมชื่อคนรู้จัก ลืมนัด กระทั่งอาการเริ่มรุนแรง กล้ามเนื้อ แขน ขา กระเพาะปัสสาวะ จะเสื่อมสมรรถภาพในการ
ทำงาน ความนึกคิด อารมณ์ ความจำ และความรู้สึกต่างๆ หายไป

สมองเสื่อมแบ่งหลักๆ ได้ 2 ประเภท
เสื่อมชั่วคราว อาจเกิดจากการบาดเจ็บของสมองจากอุบัติเหตุหรือเกิดโรค เช่น โรคซึมเศร้า เนื้องอกในสมอง ไทรอยด์ โรคขาดสารอาหารบางชนิด พิษสุราเรื้อรัง ฯลฯ สามารถรักษาให้ดีขึ้นหรือหายได้
เสื่อมถาวร อาการจะค่อยๆ แย่ลงจนช่วยตัวเองไม่ได้ และเสียชีวิตเพราะอาการแทรกซ้อน

ทดสอบเชาวน์
ส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคนี้มักไม่รู้ตัว ก่อนตรวจสภาพร่างกายเบื้องต้นต้องดูว่ามีโรคอื่นที่ทำให้เกิดอาการ
หรือไม่ เช่น เคยเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต มีภาวะไทรอยด์ หรือขาดวิตามินบี 12 ฯลฯ จากนั้นจะให้ทำแบบ
ทดสอบที่คิดค้นมาเป็นพิเศษ (MMSE) คำถามจะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น ถามวันเดือนปี ดูรูปสัตว์แล้วบอกชื่อ บวกลบเลขในใจ ฯลฯ คนทั่วไปจะได้คะแนนเกิน 23 จาก 30 ส่วนคนที่น้อยกว่า 23 คะแนนถือว่าสมองมีความผิดปกติ เพื่อผลที่แน่นอน ในบางรายจะเอกซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์หรืออาจตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก (MRI)

กันไว้ก่อนแย่
โรคสมองเสื่อมน่ากลัวเพราะรักษาไม่หาย ต้องกินยาที่ช่วยชะลอความรุนแรงให้อาการเสื่อมช้าลง คนไข้อาจอยู่ต่อได้แค่ 2 ถึง 10 ปี หลังจากเป็นโรค เมื่อไม่สามารถยับยั้งความเสื่อมได้ ทางที่ดีคือการป้องกันรักษาสุขภาพโดยรวม ไม่เคร่งเครียด และหมั่นออกกำลังกายสมอง

4 วิธีป้องกันอาการ “ปลาทอง”
วิธีง่ายๆ ที่ควรทำก่อนที่คุณจะมีความจำสั้นแค่ 3 วินาทีเหมือนปลาทอง
1. กินอาหารมีประโยชน์ ส้ม ผักโขม แครอท บรอกโคลี มะเขือเทศ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคถึง 11% แถมช่วยบำรุงให้เซลล์สมองทำงานได้ดีขึ้น ส่วนวิตามินบี 12 และกรดโฟลิกช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคความจำเสื่อม
2. ออกกำลังกาย ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดี นำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น แถมช่วยให้นอนหลับสนิท สมองได้พักผ่อนเต็มที่และพัฒนาเต็มประสิทธิภาพ
3. ออกกำลังสมองให้แข็งแรง ด้วยการใช้สมองบ่อยๆ เช่น อ่านหนังสือ เล่นเกมอักษรไขว้ เรียนภาษา
ใหม่ๆ หรือลองจำเบอร์โทรศัพท์ของคนใกล้ชิด
4. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ที่เสี่ยงต่อการทำลายความจำ

10 ข้อบ่งชี้ เมื่อคนใกล้ตัวเริ่มมีอาการสมองเสื่อม
1. สูญเสียความจำในระยะสั้นที่กระทบต่อการทำงาน
2. สิ่งที่เคยทำเป็นประจำเริ่มทำไม่ได้
3. มีปัญหาด้านภาษา เลือกคำพูดไม่ค่อยถูก
4. ไม่รู้เวลาและสถานที่
5. สูญเสียการตัดสินใจ
6. ไม่ค่อยเข้าใจความคิดที่เป็นนามธรรม
7. วางของผิดที่แปลกๆ เช่น วางรองเท้าไว้ในตู้เย็น
8. อารมณ์หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
9. บุคลิกภาพเปลี่ยน
10. ขาดการริเริ่มสร้างสรรค์

credit : pooyingnaka.com

321...ออกกำลังสมอง



ในชีวิตประจำวัน ทั้งในคนทำงาน และวัยเรียน ต่างต้องใช้ "สมอง" ในการครุ่นคิดเพื่อให้ได้ผลงาน บางครั้งไม่ได้เป็นเพียงเรื่องงานที่ต้องใช้สมองเท่านั้น ยังมีเรื่องอื่นๆ ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องชีวิต ที่ต้องใช้สมองคิดเช่นกัน ส่งผลให้ร่างกายเหนื่อยล้าบ้าง เพราะสมองกับร่างกายนั้นเชื่อมโยงกันหากสมองใช้งานมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายอ่อนล้า หรืออาจทำให้สมองเสื่อมไปบ้างเพราะฉะนั้นสมองจึงต้องการพักผ่อน และต้องมีความแข็งแรงเช่นกัน


ดังนั้น จึงเป็นที่มาของ "การออกกำลังสมอง" เพราะเซลล์ สมองที่แข็งแรงยังส่งผลให้มีความจำ สมาธิ การรับรู้ ที่ดีด้วย รวมทั้งการคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ และการวางแผนได้ดีขึ้น ที่สำคัญช่วยทำให้สมองฟิตโดยผู้ที่เป็นประธานนักบำบัดอธิบายถึงหลักการออก กำลังสมอง หรือนิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ ว่า เกิดจากการกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ การได้ยิน ได้มองเห็น การได้กลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัส รวมไปถึงส่วนสำคัญส่วนที่ 6 คือ ส่วนอารมณ์ (Emotional Sense) ได้ทำงานเชื่อมโยงกันโดยใช้กิจกรรมในชีวิตประจำวันเดิมของเราเป็นตัวช่วย แต่เปลี่ยนวิธีการไปจากเดิม


วิธีการที่ว่านี้จะเป็น อย่างไร นายสมศักดิ์ คณาประเสริฐกุล นายกสมาคมนักกิจกรรมบำบัด/อาชีวบำบัดแห่งประเทศไทย ได้แนะนำวิธีการออกกำลังสมองว่า


1. ลองเดินถอยหลังแทนการเดินไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว


2. พยายามนับเลขถอยหลัง เช่น 100, 99,98 ... แทนการนับแบบปกติ 1, 2, 3 ....


3. ถ้าเคยชินกับการเขียนด้วยมือขวา ลองใช้มือซ้ายหัดเขียน ถ้าถนัดซ้าย ให้หัดเขียนมือขวา แล้วจะพบว่าในที่สุดสามารถใช้ทั้งมือขวาหรือมือซ้ายเขียนได้ หรือสลับข้างในการหยิบของ


4. หากเป็นพนักงานบัญชีและทำงานกับตัวเลข ลองหัดทำงานในเชิงศิลปะ เช่น ทำสร้อยข้อมือหรือสร้อยคอจากหินสีต่างๆ เพนท์สีลายกระจก ขวด หรือทำเค้กรูปแบบต่างๆ


5. ถ้าทำงานสำนักงานและต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์ในห้องเย็นๆ ทั้งวัน หลังเลิกงานควรหากิจกรรมที่กระตุ้นร่างกายให้เคลื่อนไหว เช่น ลีลาศหรือเต้นรำในจังหวะต่างๆ ว่ายน้ำ ดำน้ำ หรือโยคะ เป็นต้น


6. ถ้าทำงานด้านศิลปะอยู่แล้ว ให้หัดเล่นเกมคอมพิวเตอร์ เรียนการใช้ลูกคิดแบบญี่ปุ่น หรือหัดขับรถโกคาร์ท


7. หากเป็นนักกีฬาอาชีพ ต้องพยายามใช้สมองเพื่อการคิดด้วยการลองเล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ (Crossword) หรือเรียนภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม


ไม่เพียงแต่สุขภาพกายที่ต้องดูแลสุขภาพสมองก็สำคัญไม่แพ้กัน

credit : pooyingnaka.com

ผลของพิษทางอารมณ์



credit : pooyingnaka.com

7 สูตรสำเร็จเพิ่มความฉลาด



ใครที่รู้สึกว่าสมองอ่อนล้า เฉื่อยชา และความจำถดถอย เรามีวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำให้กับสมอง เพราะจากผลการวิจัยบอกว่ายิ่งทำได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสมองของเรา

1. บริหารสมองอยู่เสมอ
ยิ่งเราใช้สมองมากและบ่อยเท่าไหร่ เซลล์สมองจะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ความสามารถในการจำดีขึ้นตามไปด้วย วิธีบริหารสมอง เช่น การเล่นหมากฮอส ต่อจิ๊กซอว์ หรือเล่นครอสเวิร์ดในเวลาว่าง

2. กินยาเสริมความจำ
มีผลการวิจัยยืนยันว่าหลังจากการกินโสมในปริมาณ 400 มิลลิกรัมไปแล้ว 1 ชั่วโมง จะทำให้ความสามารถในการจำดีขึ้นและส่งผลต่อไปอีกถึง 6 ชั่วโมง แปะก๊วยก็มีการยืนยันว่าส่งผลดีต่อระบบความจำเหมือนกัน เพราะจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในสมอง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในอเมริกาพบว่า Vinpocetine ที่สกัดได้ขากต้น Periwinkle (ไม้เลื้อยชนิดหนึ่งที่มีดอกสีฟ้า ใบเข้มเป็นมัน) นั้นจะช่วยเพิ่มความจำและความจดจ่อในสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้มากขึ้นได้

3. กินผักและผลไม้สด
เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่สูงในผักและผลไม้สดจะไปทำลายอนุมูลอิสระซึ่งเกิดจากการสะสมเป็นเวลานอนของเนื้อเยื่อไขมันอันจะทำให้สมองอ่อนแอลง และช่วยชะลออาการความจำถดถอยในผู้สูงอายุ อาทิ ผมไม้ที่มีสีแดง ม่วง และน้ำเงิน โดยเฉพาะตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่มีความเข้มข้นสูงที่เรียกว่า Anthocyanidin

4. ลดปริมาณแอลกอฮอล์
เพราะจะส่งผลต่อการปลดปล่อยสาระสำคัญในสมองโดยจะไปขัดขวางความสามารถในการสร้างความจำใหม่ ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นชื่อ ตัวเลข และเหตุการณ์ณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านี้ ความสามารถในการระลึกเหตุการณ์ณ์หรือเรื่องราวเก่า ๆ ในอดีตก็จะถูกบั่นทอนไปด้วย



5. ออกกำลังกาย
ขณะที่ร่างกายของเราเคลื่อนไหวนั้นสมองจะได้รับเลือดมากเป็นพิเศษซึ่งนั่นหมายถึงว่าสมองจะได้รับกลูโคสและออกซิเจนมากขึ้นทำให้สมองแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การออกกำลังกายยังไปเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมองที่เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor) ให้ทำงานได้ดีขึ้นด้วย แต่การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไปกลับไม่เกิดประโยชน์ต่อระบบความจำ

6. จดบันทึกช่วยจำ
เพราะโดยธรรมชาติของสมองเรานั้นเมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตรงหน้า ความสามารถในการจดจำสิ่งอื่นก็จะลดลง ฉะนั้นการย้ายข้อมูลจากสมองมาเก็บไว้ในสมุดบันทึกอย่างคอมพิวเตอร์ ปาล์ม หรือโทรศัพท์มือถือ ก็เหมือสเป็นการช่วยลดความหนาแน่นของข้อมูลหรือเพิ่มพื้นที่ว่างในสมองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

7. ทำสมาธิ
สมองของคนเรานั้นทำงานที่ความถี่หรือคลื่นสมองที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำหรือคิดอยู่ ภายใต้ความเครียดที่เกิดขึ้น คลื่นเบต้าของสมองจะทำงานเร็วขึ้นซึ่งจะส่งผลให้สมองลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นเราควรคิดให้ช้าลง โดยการทำสมาธิ หลับตาลงช้าๆ หายใจเข้าเบาๆ ช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ปลายจมูก จากนั้นหายใจออกช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ช่องจมูกทางขวา จากนั้นหายใจเข้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เวลาผ่อนลมหายใจออกให้ตั้งสติที่ช่องจมูกทางซ้าย ทำเช่นนี้สลับกันประมาณ 10 นาที ทุกวันรับรองว่าสมองตื้อๆ ตันๆ จะกลับมาโล่งโปร่งใสเหมือนเดิม

credit : pooyingnaka.com

โรคซึมเศร้า



"เอ" หญิงไทยวัย 40 ปี เจ้าของธุรกิจส่วนตัว มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลด้วยอาการปวดศีรษะและนอนไม่หลับ หลังจากแพทย์ได้ตรวจร่างกายอย่างละเอียดไม่พบความผิดปกติใด ๆ และกำลังจะสั่งยา เอก็เริ่มร้องไห้และเล่าว่าเธอกำลังมีปัญหาครอบครัว แพทย์จึงได้แนะนำให้เธอมาพบจิตแพทย์

หลังจากเอได้คุยกับจิตแพทย์นานประมาณครึ่งชั่วโมง ทำให้เข้าใจว่าอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้เธอนอนไม่หลับและมีอาการปวดศีรษะ นอกจากอาการดังกล่าวแล้วยังพบว่าเอมีอาการอื่นๆ มากกว่านั้น เช่น อารมณ์เศร้า ร้องไห้คนเดียวเกือบทุกคืนมากว่า 2 สัปดาห์ เอเหนื่อยไม่อยากทำอะไร เบื่ออาหารจนน้ำหนักลด 3-4 กิโลกรัม ใน2-3 เดือนที่ผ่านมา ท้อแท้ จนบางครั้งคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เพราะสามีที่แต่งงานกับเธอมากว่า 10 ปี จนมีลูกด้วยกัน 2 คน กำลังนอกใจเธอ กลับบ้านดึก ไม่สนใจเธอกับลูกเหมือนก่อน

เอได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคซึมเศร้า และได้รับการรักษาด้วยยาต้านซึมเศร้าและการทำจิตบำบัดแบบประคับประคอง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง 3 สัปดาห์ผ่านไปเธอเริ่มดีขึ้น นอนหลับได้ รับประทานอาหารได้ อารมณ์แจ่มใสขึ้น มีสมาธิสามารถทำงานได้เหมือนก่อน และรู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่า โดยเฉพาะกับลูกที่น่ารักทั้ง 2 คนของเธอ

หลังจากนั้น สามีเธอมาพบจิตแพทย์ด้วยได้พูดคุยยอมรับในความผิดพลาด และรับปากจะเลิกกับผู้หญิงอีกคนให้เด็ดขาด โดยบอกว่าช่วงหนึ่งเวลาที่ทั้งคู่มีให้กันเริ่มน้อยลง จากที่ทั้งคู่ต้องทำงานและดูแลลูก จนลืมดูแลตัวเองและคนรักไป

สถานการณ์ในครอบครัวเริ่มดีขึ้น จนกลับมามีความสุขเหมือนเดิม เอรับประทานยาตามที่จิตแพทย์สั่งจนครบ 6 เดือน ระหว่างรักษาเธอเปลี่ยนความคิดและ พฤติกรรมหลายอย่าง รวมทั้งมีการควบคุมอารมณ์ ที่ดีขึ้น
..........

นี่คือตัวอย่างผู้ป่วยโรคซึมเศร้าคนหนึ่ง หลายคนอ่านคงสงสัยว่าทำไมหมอถึงเอาเรื่องของตนเองมาเขียนไม่ต่องตกใจครับนี่เป็นเรื่องปกติที่หมอ พบคนไข้ลักษณะนี้แทบทุกวันในการทำงาน และกรณีก็คล้ายๆกันแบบนี้ อาจแตกต่างที่รายละเอียดปลีกย่อยไปบ้าง

เมื่อเป็นเรื่องที่พบบ่อยเช่นนี้ จะทำอย่างไรดี จึงจะป้องกันไม่ให้ตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า หรือไม่เป็นซ้ำในรายที่เคยเป็นและหายแล้ว การรู้จักโรคซึมเศร้าและรู้จักวิธีป้องกันตัวที่ดีน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยนะครับ

โรคซึมเศร้า คืออะไร
โรคซึมเศร้า เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ที่มีอาการเด่นในด้านอารมณ์ เช่น อารมณ์เศร้า และความเหนื่อยหน่าย ไม่มีความสุข ร่วมกับอาการอื่น ๆ ตามเกณฑ์วินิจฉับยของสมาคมจิตแพทย์อเมริกาดังต่อไปนี้
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคซึมเศร้า มีอาการดังต่อไปนี้ 5 อาการหรือมากกว่า ได้แก่
1. มีอารมณ์ซึมเศร้า (ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้)
2. ความสนใจหรือความเพลินใจในกิจกรรมต่างๆ แทบทั้งหมดลดลงอย่างมาก
3. น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก (น้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากกว่าร้อยละ 5 ต่อเดือน) หรือมีการเบื่ออาหารหรือเจริญอาหารมาก
4. นอนไม่หลับ หรือหลับมากไป
5. กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือเชื่องช้าลง
6. อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง
7. รู้สึกตนเองไร้ค่า หรือรู้สึกผิดอย่างไม่เหมาะสมหรือมากเกินควร
8. สมาธิลดลง ใจลอย หรือลังเลใจไปหมด
9. คิดเรื่องการตาย คิดอยากตาย
* ต้องมีอาการในข้อ 1 หรือ 2 อย่างน้อย 1 ข้อ
* ต้องมีอาการเป็นอยู่นาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องมีอาการเหล่านี้อยู่เกือบตลอดเวลา แทบทุกวัน ไม่ใช่เป็นๆ หายๆ เป็นเพียงแค่วันสองวันหายไปแล้วกลับมาเป็นใหม่

โรคซึมเศร้า แตกต่างจากภาวะซึมเศร้าอย่างไร
คำว่า "โรค"บ่งว่าเป็นความผิดปกติทางการแพทย์ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาเพื่อให้อาการทุเลาต่างจากภาวะอารมณ์เศร้าตามปกติธรรมดาที่ถ้าเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวคลี่คลายลงหรือมีคนเข้าใจเห็นใจ อารมณ์เศร้านี้ก็อาจหายได้ ถ้าเกิดการสูญเสีย ย่อมต้องมีภาวะซึมเศร้าเป็นธรรมดา ถ้าใครสูญเสียคนที่เป็นที่รัก เช่น คุณพ่อ คุณแม่ แล้วไม่เศร้าคงไม่ใช่คนปกติธรรมดาทั่วไป ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้านอกจากมีอารมณ์ซึมเศร้าร่วมกับอาการต่างๆ แล้วการทำงานหรือการประกอบกิจวัตรประจำวันก็แย่ลงด้วยคนที่เป็นแม่บ้านก็ทำงานบ้านน้อยลงหรือมีงานบ้านคั่งค้างคนที่ทำงานนอกบ้านก็อาจขาดงานบ่อยๆ จนถูกเพ่งเล็งเรียกว่าตัวโรคทำให้การประกอบกิจวัตรประจำวันต่างๆ บกพร่องลง

คนที่เป็นโรคซึมเศร้า ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นเป็นคนอ่อนแอ แกล้งเป็นเพื่อขอความเห็นใจ แต่เขาเป็นจริงๆ ทำให้ไม่มีแรง ไม่มีกำลังที่จะแก้ไขปัญหาได้ คนที่ไม่เป็นโรคอาจจะไม่เข้าใจผู้ป่วย หรืออาจเข้าใจในทางที่ผิดว่าทำไมแกล้งทำ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นยากเลยที่จะแก้ปัญหา แต่ถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษา ได้รับความเข้าใจจากคนรอบข้างก็จะมีอาการดีขึ้น และหายจากโรคได้

โรคซึมเศร้า พบได้มากน้อยแค่ไหน
จากการสำรวจที่ประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า โอกาสที่จะพบคนที่เป็นโรคซึมเศร้ามีถึงร้อยละ 10-25 ในผู้หญิง และร้อยละ 5-12 ในผู้ชาย และในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทั้งหมด สองในสามเคยพยายามทำร้ายร่างกายตัวเองมาก่อน และร้อยละ 10-15 ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเสียชีวิตเพราะทำร้ายตัวเองสำเร็จ จากตัวเลขดังกล่าว จะเห็นว่า โรคซึมเศร้า ไม่ใช่เรื่องเล็ก เรีองไกลตัวอีกแล้วนะครับ

โรคซึมเศร้า มีสาเหตุมาจากอะไร
สาเหตุภาวะซึมเศร้าเกิดจากหลายสาเหตุแต่ละสาเหตุจะมีผลกระทบซึ่งกันและกันสาเหตุของภาวะซึมเศร้าที่ได้มีการศึกษาค้นพบประกอบด้วย

1. สาเหตุทางพันธุกรรม พบว่ากรรมพันธุ์มีส่วนเกี่ยวข้องสูงในโรคซึมเศร้าโดยเฉพาะในกรณีของผู้ที่มีอาการเป็นซ้ำหลายๆครั้ง และภาวะซึมเศร้าที่เกิดขึ้นครั้งแรกในวัยเด็กหรือวัยรุ่นการศึกษาเด็กที่พ่อแม่มีภาวะซึมเศร้าพบว่ามีอัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าสูงกว่าเด็กทั่วไปในทำนองเดียวกันการศึกษาญาติของเด็กที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าพบว่ามีอัตราการป่วยด้วยโรคซึมเศร้าสูงกว่าญาติของเด็กทั่วไป

2. สาเหตุทางสังคม ปัจจัยเสี่ยงทางจิตสังคมหลายอย่างเป็นสาเหตุให้เด็กเกิดโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะการเลี้ยงดูในวัยเด็ก การที่เด็กมีแม่ที่มีปัญหาทุกข์ใจเลี้ยงดูลูกได้ไม่ดีหรือมีครอบครัวที่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง ปัญหาเศรษฐกิจและที่อยู่อาศัยทำให้เด็กมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคซึมเศร้า ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆได้แก่เหตุการณ์ในชีวิตที่เกิดขึ้นกะทันหัน เช่น การเสียชีวิตหรือการหย่าร้างของพ่อแม่และเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตที่เรื้อรัง เช่น การถูกกระทำทารุณทางร่างกายและทางเพศการถูกทอดทิ้ง

3. กลไกทางจิตใจ มีทฤษฏีหลายทฤษฏีที่พยายามอธิบายสาเหตุของภาวะซึมเศร้า เช่น ทฤษฎี learned helplessness ซึ่งอธิบายว่าการที่เราพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งรอบตัวที่ไม่ดีหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จอาจทำให้ขาดแรงจูงใจ เฉยชา และซึมเศร้าได้ อีกทฤษฎีได้แก่ ทฤษฎีทางความคิดที่เป็นสาเหตุของภาวะซึมเศร้าวคนที่มีความคิดในทางลบเกี่ยวกับตัวเอง โลก และอนาคตมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้ากลไกทางจิตใจอื่นที่มีการศึกษาพบว่าเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะซึมเศร้าในเด็ก ได้แก่ความรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ไร้ความสามารถ และไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อน
4. กลไกทางชีววิทยาการสังเกตยาที่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและการค้นพบยาที่รักษาโรคซึมเศร้านำไปสู่สมมติฐานของสารสื่อประสาทในสมอง ที่ว่าภาวะซึมเศร้าเกิดจากสารดังกล่าวลดลงเป็นที่มาของคำว่าสารเคมีในสมองไม่สมดุล การรับประทานยาต้านซึมเศร้า ก็เพื่อไปปรับสารเคมีดังกล่าวให้กลับสู่ภาวะสมดุลได้อย่างรวดเร็วซึ่งสัมพันธ์กับกับอาการต่างๆที่ดีขึ้น เช่น อารมณ์ ความอยากอาหาร การนอนฯลฯ

โรคซึมเศร้า เป็นแล้วหายขาดได้หรือไม่ ปัจจุบันเชื่อว่าโรคซึมเศร้า เป็นโรคที่มีลักษณะเรื้อรังนั่นคือ หลังจากหายแล้วมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก โดยมีการคาดการณ์จากองค์การอนามัยโลกว่า ในปี ค.ศ. 2020 โรคซึมเศร้า จะทำให้เกิดภาระต่อผู้ที่เจ็บป่วยและญาติ เช่น ต้องสูญเสียรายได้เนื่องจากไม่สามารถทำงานได้ การต้องได้รับการดูแลจากคนใกล้ชิด ก็ถือเป็นภาระของผู้ดูแล โดยเป็นโรคที่เป็นภาระรุนแรงเป็นอันดับ 2 รองจากโรคหัวใจ จึงมีการพยายามรณรงค์ป้องกัน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยกลับเป็นซ้ำโดยการรับประทานยาตามกำหนดระยะเวลาที่แพทย์สั่งจะช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้ดีกว่าผู้ป่วยที่หยุดการรักษาเมื่อยังไม่ครบระยะเวลาในการรักษา

โรคซึมเศร้า รักษาอย่างไร
2 วิธีสำคัญ ได้แก่การรักษาด้วยยา และการทำจิตบำบัด โดยการรักษาที่ถูกต้องจะนำไปสู่การป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้ดีกว่า
1. การรักษาด้วยยา จากการค้นพบว่าในกลุ่มผู้ป่วยโรคซึมเศร้า มีสารเคมีในสมองที่มีความผิดปกติไป และหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาแล้วเมื่อสารเคมีกลับเข้าสู่ภาวะปกติ นำไปสู่อาการที่ดีขึ้น การรักษาด้วยยาจึงเป็นวิธีหลักที่ช่วยให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ทุเลาจากอาการได้อย่างรวดเร็ว กว่าผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยา

ในอดีต ยาที่ใช้ในการรักษามีผลข้างเคียงมาก ทำให้การรักษาไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร แต่ปัจจุบัน มียาที่ผลิตออกมาใหม่ที่มีผลข้างเคียงน้อยมาก ทำให้ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาได้อย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ผลการรักษาที่ดีกว่าสมัยก่อนมาก

การรักษาด้วยการช็อกไฟฟ้า ก็เป็นอีกวิธีการรักษาที่ปลอดภัย และได้ผลดีในรายที่มีอาการรุนแรง มีความคิดอยากทำร้ายตัวเองรุนแรง แต่ไม่เป็นที่นิยม ด้วยทัศนคติ ความกลัวว่าเป็นวิธีการที่อันตราย ซึ่งความจริงไม่เป็นเช่นนั้น

2. การรักษาด้วยจิตบำบัด นอกเหนือจากการักษาด้วยยาแล้วการได้พูดคุยกับจิตแพทย์ก็ถือเป็นการรักษาอีกทางที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น การทำจิตบำบัดมีหลายแบบ อาจเป็นแค่การทำจิตบำบัดแบบประคับประคองอาการ หรือถึงขั้นการทำจิตบำบัดเพื่อเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนพฤติกรรม นำไปสู่ทักษะการแก้ปัญหาที่ดี การมองโลกในแง่บวกและป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้

ดูแลจิตใจอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคซึมเศร้า หลังจากเรารู้จักโรคซึมเศร้ามากพอควรแล้ว หมอขอแนะนำ
9 วิธีดูแลจิตใจเพื่อให้ตัวเองห่างไกลจากการเป็นโรคซึมเศร้าให้มากที่สุด

1. รู้จักตัวเอง การรู้จักตัวเอง พูดง่ายแต่ทำยาก ต้องค้นให้เจอจริงๆ ว่าเราเป็นคนอย่างไร มีจุดอ่อน จุดแข็งในตัวเองอย่างไร มีความภาคภูมิใจอะไรบ้างในตัวเอง การที่เรายิ่งรู้จักตัวเองดีเท่าไร ก็จะทำให้เราหลีกเลี่ยงการเผชิญในสถานการณ์ที่จะทำให้เราผิดหวังเสียใจได้ หรือเตรียมรับมือกับมันได้
2. ศาสนา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจที่ดีทุกศาสนาล้วนสอนให้เราเป็นคนดี และสอนให้เรามีความสุข การมีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจย่อมเป็นเครื่องป้องกันชิ้นดีที่จะทำให้เราปราศจากความทุกข์ได้
3. ครอบครัว คือ สิ่งที่รักเรามากที่สุด ไม่มีใครจะรักเราเท่ากับครอบครัวของเราอีกแล้ว โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ของเรา เวลาผิดหวังเสียใจ หลายๆคนทิ้งเราไป แต่ครอบครัวจะไม่มีทางทิ้งเราเสมอ เมื่อเรามีความสุข ก็อย่าลืมนึกถึง แบ่งปันความสุขให้ครอบครัวบ้าง
4. เพื่อน คำว่าเพื่อน ฟังแล้วอบอุ่นเสมอ คือคนที่เข้าใจเรา เป็นที่ปรับทุกข์ให้เราได้อีกทางนอกจากครอบครัว เมื่อเรามีความสุขดี แบ่งปันความสุขให้เพื่อนบ้าง อย่าเก็บไว้คนเดียว คบเพื่อนให้มากๆ อย่าแยกตัวอยู่คนเดียว
5. งานอดิเรก เป็นสิ่งจำเป็นทีเดียว หางานอดิเรกที่ตัวเองชอบ ทำแล้วมีความสุข หาเตรียมไว้ก่อน เวลาซึมเศร้า จะได้หยิบออกมาใช้ได้เลย ไม่ต้องไปหาอีก เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นคอมพิวเตอร์ Internet เล่นดนตรี ร้องเพลง เต้นรำ อ่านหนังสือ ฯลฯ เชื่อว่าต้องมีสักอย่างที่เราชอบบ้าง ลองหาดูครับ
6. ท่องเที่ยว พยายามรักษาสมดุลให้ตัวเอง หาเวลาไปท่องเที่ยวให้สม่ำเสมอ แล้วแต่ความพร้อม เช่น อย่างน้อยเดือนละครั้ง เข้าหาธรรมชาติ ทะเล น้ำตก ภูเขา ฯลฯ
7. กีฬา กีฬา คือยาวิเศษเป็นคำพูดที่ดีมากๆ ลองหาสักอย่าง ที่ตนเองชอบ นอกจากสุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังอาจได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีก เล่นไม่ได้ ได้ดูได้ติดตามก็ยังดี เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล ปิงปอง แบดมินตัน เทนนิส กอล์ฟ ดำน้ำ ว่ายน้ำ ขึ่ม้า ยิงปืน ฯลฯ
8. อาหาร รับประทานที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่เป็นประโยชน์แล้วยังเป็นโทษ เช่น แอลกฮอล์การได้รับประทานอาหารดีดี อาหารที่ชอบ ทำให้เกิดความสุขได้เช่นกัน
9. การนอน คือ การพักผ่อนที่ดีที่สุด หากมีปัญหา ไม่รู้จะแก้อย่างไร ก็นอนไปก่อน จะหลับหรือไม่หลับก็ช่างมัน พักสมองเตรียมตัวไว้ให้พร้อม วันพรุ่งนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไป อะไรอะไรอาจดีขึ้นแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้

สุดท้าย ถ้าเรารู้ทันและรู้วิธีป้องกันโรคซึมเศร้าแล้ว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านให้นำไปใช้ไม่มากก็น้อยต่อไปครับ

นพ.วิทยา วันเพ็ญ
จิตแพทย์ โรงพยาบาลพระรามเก้า

credit : pooyingnaka.com

ดูนิสัยสมอง ของชาวญี่ปุ่น "อุซะอุซะ"
















credit : pooyingnaka.com

ชอบแอบดู...คนอื่น



การที่ผู้ชายแอบดูผู้หญิงอาบน้ำหรือร่วมเพศนั้น ถ้าถามผู้ชายทั่วๆ ไปว่าเป็นสิ่งผิดปกติไหม?

คงจะมีคนตอบว่า ปกติ เพราะเขาเองก็อยากแอบดูด้วย ความอยากแอบดูอาจจะมีได้เป็นปกติ แต่ถ้าหากลงมือเจาะรูแอบดูหรือใช้วิธีการแอบดูอยู่เรื่อยๆ นั้น ถือว่าไม่ปกติแน่ๆ ถือว่าเป็นความเบี่ยงเบนทางเพศชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Voyeurism ซึ่งหมายถึง คนที่มีความสุขจากกการแอบดูคนอื่นเปลือยกาย ถ้าหากเป็นคนที่ชอบแอบดูคนอื่นร่วมเพศแล้วมีความสุขเรียกว่า copophilia มีคนรายงานเข้ามาว่า ตามสวนสาธารณะหรือลานจอดรถในที่เปลี่ยวๆ หลายแห่งที่มีหนุ่มสาวไปพลอดรักกัน มักจะมีบุคคลเหล่านี้ไปแอบดูด้อมๆ มองๆ เป็นประจำ บางคนก็แอบดูในบ้านเช่น ตามรูกุญแจ หรือตามรอยแตกของห้องน้ำ หรือตามช่องหน้าต่าง


นอกจากจะถือว่าเป็นความเบี่ยงเบนทางเพศแล้ว ยังเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น และอาจจะถูกทำร้ายได้ง่ายโดยบุคคลที่ถูกแอบดูหรือญาติของเขา มีบางรายเล่าว่าเคยถูกไม้แทงสวนออกมาทางรูที่แอบดูเกือบทำให้ตาบอดก็มี บุคคลเหล่านี้ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านแขาเรียกว่า นักถ้ำมอง (Peeping Tom) พวกนี้มักเป็นผู้ชายแอบดูผู้หญิงเปลือยหรือร่วมเพศกับผู้ชาย แต่ถ้าเป็นผู้ชายที่ชอบแอบดูผู้ชายเปลือยในห้องน้ำ มักจะเป็นพวกรักร่วมเพศ (Homosexual) บุคคลเหล่านี้มักจะหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ แม้จะรู้ว่าไม่ถูกต้อง แต่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ เป็นลักษณะของการย้ำคิดย้ำทำในขณะที่แอบดูบางคนจะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองไปด้วย จนถึงจุดสุดอดได้ บุคคลเหล่านี้มักจะเป็นคนเรียบร้อย สมยอม ไม่ค่อยก้าวร้าว


ส่วนสาเหตุของการแอบดูคนอื่นเปลือยกายหรือร่วมเพศมาจาก


1. ขาดความอบอุ่นตั้งแต่วัยเด็ก ทั้งในแง่ความรักและความสนใจ ทำให้รู้สึกว้าเหว่ไม่มั่นใจตัวเอง แม้ว่าบางคนจะมีพ่อแม่ที่เข้มแข็งมักจะอวดตัวเอง ยกตัวเอง และดูถูกลูกชายว่าต่ำต้อยด้อยกว่าก็พบได้มาก


2. มีความรู้สึกด้อยในความเป็นชาย คิดว่าตัวเองเป็นลูกผู้ชายไม่พอ และคิดว่าคนอื่นก็คิดเช่นเดียวกัน พวกนี้มักจะถูกดูถูกในความเป็นชายตั้งแต่เด็กๆ เช่น แม่หรือพ่อ ชอบล้อเลียนหรือติฉินว่าไม่เก่ง ไม่เป็นลูกผู้ชาย แหย หรือยกตัวอย่างว่าเขาอ่อนแอเหมือนคนที่อ่อนแออื่นๆ โดนการสบประมาทตลอดมา หลายๆ รายมีแม่ที่เข้มแข็ง มีพ่อที่อ่อนแอ และแม่ชอบประณามพ่อหรือเพศชายให้ลูกฟัง และติเตียนลูกว่า เขาจะอ่อนแอหรือเลวเหมือนพ่อ หรือเหมือนผู้ชายเหล่านั้น เด็กจึงหมดความภาคภูมิใจในความเป็นชาย และคิดว่าตัวเองด้อยความเป็นชายตลอดมา เขาจึงไม่กล้าจะจีบผู้หญิงทั่วไป หรือมีเซ็กส์กับผู้หญิงทั่วไปเหมือนผู้ชายอื่นๆ เพราะเขากลัวความล้มเหลวหรือกลัวว่าจะมีการล้มเหลวแน่ๆ แม้จะเป็นเพียงได้เห็นเท่านั้นก็ตาม


และในช่วงเวลาที่เขาแอบดูนั้นเขาจะรู้สึกว่าเขามีอำนาจอยู่เหนือคนอื่น ที่เขาสามารถเป็นผู้ชนะเป็นผู้กำความลับ โดยคนที่ถูกแอบดูถ้ารู้เข้าจะต้องอับอายเขา เขาจึงยอมเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย หรือเสี่ยงต่ออันตรายจากการถูกทำร้ายเพื่อจะได้รู้สึกเช่นนั้น


3. บางทฤษฎีเชื่อว่ามาจากการที่เด็กได้เห็นพ่อแม่ร่วมเพศกันตั้งแต่เด็กๆ (Primal Scene) เด็กอาจเข้าใจผิดฝังใจในความคิดฝันว่าพ่ออาจทำร้ายแม่ หรือพ่อตัดองคชาตออกไปจากแม่ทำให้แม่ไม่มีองคชาต หรือคิดกลับกันว่าแม่กำลังตัดองคชาตของพ่อออกไป เขาจึงกลัวการร่วมเพศ แต่จะฝังใจแอบดูคนอื่นร่วมเพศด้วยความตื่นเต้น และอาจมาจากความกลัวว่าพ่อแม่จะจับได้ จะถูกลงโทษด้วยการถูกตัดองคชาต เพราะพ่อแม่ชอบขู่เด็กเล็กว่าถ้าทำอะไรผิดจะตัดองคชาติซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้องและ ไม่ควรทำเพราะเด็กกลัวและฝันไปเองได้ต่างๆ นานา


การแอบดูผู้อื่นนี้แม้จะแลดูเป็นเรื่องเล็กน้อย บางคนมองข้ามไปเพราะคิดว่าเป็นความปกติที่ผู้ชายชอบแอบดู แต่ผมขอบอกว่าไม่ใช่เป็นสิ่งปกติหรอก เป็นพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนทางเพศที่มาจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมตั้งแต่เด็กๆ ในสังคมที่มีความซับซ้อน ทุกคนต้องทำงานหนักไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูก โอกาสที่จะเกิดความเบี่ยงเบนเหล่านี้จะเกิดได้ง่าย


บุคคลเหล่านี้จะเติบโตต่อไปด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจตัวเอง รู้ว่าต้องทำความผิด รู้ว่าเป็นความผิดแต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะต้องทำ บางรายเกิดความรู้สึกละอายแก่ตนเอง บางรายมีความเศร้าในชีวิตมากขึ้น


การรักษาและช่วยเหลือนั้นทำได้ถ้าหากเขาต้องการให้รักษา ญาติหรือพ่อแม่ต้องให้ความร่วมมือจึงจะทำให้การรักษาได้ผลดีขึ้น(ในกรณีพาลูกซึ่งยังเป็นเด็กมา) แต่ส่วนใหญ่มักจะอายทั้งตัวผู้ทุกข์เองและญาติจึงไม่นำมารักษาปล่อยไว้ให้เป็น ความเก็บกดทางใจของผู้ทุกข์ต่อไป แม้ว่าเขาจะเติบโตเป็นคนฉลาด มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี แต่เขาก็จะทุกข์จากการที่เขามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมนี้ คนที่อยู่ใกล้ชิดก็ผวา ระแวง กลัวว่าจะถูกแอบมองอีก เหมือนเช่นกรณีเด็กวัยรุ่นแอบดูน้าสาวที่บ้านของเขา ซึ่งน้าสาวจะกลัวและระแวงมากแม้เด็กจะบอกไม่ทำอีกแล้วก็ตาม


การทำพฤติกรรมบำบัด จิตบำบัดและครอบครัวบำบัดจะช่วยได้มาก จะลดอัตราของผู้ที่แอบมองเหล่านี้ลงใครๆ ก็ผวา Peeping Tom ครับ

แหล่งที่มา : ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ (จิตแพทย์)

credit : pooyingnaka.com

สมองที่หลายคนชอบเข้าใจผิดๆ



มันสมองของวิเศษในตัวของท่าน บางทีท่านอาจจะบ่นว่า หัว (คือสมอง)ของท่านไม่ดีสู้คนอื่นไม่ได้ หรือคงเคยพูดว่า วันนี้ทำงานมาก จนหัว (หัวสมอง)เพลียเห็นจะต้องพักเสียที มีแต่การทดลองทางการแพทย์และจิตวิทยาบอกว่าที่คิดอย่างนี้"...คิดผิดทั้งนั้น..." ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมันสมอง 6 ข้อซึ่งจะช่วยให้ท่านเข้าใจมันสมองของวิเศษในตัวท่าน

1. มันสมองเหนื่อยหรือเพลียกับใครไม่เป็น
คนที่ทำงานใช้ความคิดติดต่อกันนานๆจะรู้สึกมึนงง เพลียทำงานช้าลงเข้าใจเอาเองว่า ใช้สมองมาก จนสมองเพลีย จึงต้องหยุดพักสมอง เมื่อได้พักแล้วก็รู้สึกแจ่มใส ทำงานได้ดีขึ้น พวกนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเรื่องนี้พบว่าไม่จริง สมองเพลียกับใครไม่เป็นเพราะสมองไม่เหมือนกล้ามเนื้อ ไม่ได้ทำงานอย่างกล้ามเนื้อพลังของสมองเกิดจากไฟฟ้าเคมี(Electrochemical) ในสมองมันจึงไม่เพลีย เช่นเดียวกับเราเปิดไฟห้าสิบแรงเทียนเปิดไว้นานเท่าใดมันก็สว่างอยู่เท่านั้น ถ้ามันจะดับก็ดับไปเลย อาการที่ใกล้กับความเพลียของสมองก็คือความเบื่อ อย่างเช่นเวลาท่องตำรายากๆ สักเล่มหนึ่งพอดึกเข้า สักหน่อยใจหนึ่งอยากอ่านต่อไป อีกใจหนึ่งอยากนอน เช่นนี้ทำให้ท่านหมดความตั้งใจที่จะอ่าน ดังนี้พอจะพูดได้ว่าสมองเพลียคือหมายความว่าท่านหย่อนความตั้งใจที่จะทำงาน และไม่สามารถที่จะบังคับความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่านไปในทางอื่น

2. กำลังสมองไม่มีที่สิ้นสุด
สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมีหน้าที่เกี่ยวกับการจดจำการคิดและความรู้สึกต่างๆ สมองประกอบด้วยตัวเซลล์ประมาณ 10 พันล้านตัวถึง 12พันล้านตัว แต่ละตัวมีเส้นใยที่เรียกว่าแอกซอน (Axon) และเดนไดรต์ (Dendrite) สำหรับให้กระแสไฟฟ้าเคมี (Electrochemical) แล่นผ่านถึงกันการที่เราจะคิดหรือจดจำสิ่งต่างๆนั้นเกิดจากการเชื่อมต่อของกระแสไฟฟ้า ในสมอง คนที่ฉลาดที่สุดก็คือคนที่สามารถใช้กำลังไฟฟ้าได้เต็มที่

3.อัตราส่วนเชาวน์ (I.Q.) นั้นที่จริงไม่ใช่ของสำคัญ
นักจิตวิทยา เช่น อัลเฟรดและบิเนต์ มีวิธีการวัดความฉลาดของคน โดยการวัดอัตราส่วนเชาวน์ หรือไอคิว แล้วกำหนดว่าคนนั้นๆมีไอคิวเท่านั้นๆ ถ้าใครวัดแล้วได้ไอคิวต่ำกว่าร้อย ก็ออกจะเสียใจสักหน่อย แต่นักจิตวิทยาเขาว่าอย่าไปสนใจกับไอคิวนักเลย เพราะการทดสอบนั้นมันไม่ค่อยแน่นัก อาจทดสอบผิดพลาดได้ง่ายเท่าที่เขาค้นพบนั้น ว่าใครมีร่องยู่ยี่หยุกหยิกตอนกลางกระหม่อมมากๆมักจะฉลาดกว่าคนอื่น "แต่คนที่ธรรมชาติไม่ได้สร้างสิ่งพิเศษมาให้จะไม่มีทางฉลาดกับเขาบ้างหรือ?" นักวิทยาศาสตร์ตอบว่ามีและมีได้แน่ๆ คนที่มีไอคิวปานกลางอาจจะเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง มีความรู้ดีได้โดยการหมั่นฝึกตัวเซลล์ในสมองให้มันทำงานไม่ปล่อยให้มันขี้เกียจอยู่เฉยๆ
เขาพบว่าคนที่มีชื่อเสียงมากมายหลายคนมีไอคิวเท่าๆ กับคนธรรมดา อย่างเช่น จอห์นอาดัมส์,อับราฮัม ลินคอล์น,นโปเลียน,เนลสัน เหล่านี้มีสมองธรรมดาๆแต่ว่าเป็นคนมีลักษณะพิเศษ คืออุตสาหะพากเพียรอย่างไม่หยุดยั้ง คนสมองดีๆถ้าไม่หมั่นใช้มันก็จะฝ่อได้



4. แก่แล้วก็เรียนได้ดีเท่าหนุ่มๆเหมือนกัน
....ความเข้าใจผิดอย่างไม่เข้าท่าก็คือว่ายิ่งแก่ตัวยิ่งเรียนไม่ได้สมองเสื่อมความจำไม่ดี ถ้าเป็นคนขี้เหล้าเมายาหรือมีโรคอาจเป็นได้อย่างนั้น แต่คนปรกติแล้วย่อมเรียนได้ตลอดอายุความแก่ชราไม่เป็นอุปสรรคแก่การเรียน การเรียนเกี่ยวกับการให้กระแสไฟฟ้าในสมองเคลื่อนไหว ดังนั้นถ้าสมองไม่ผุพังเพราะเชื้อโรคหรือการกระทบกระเทือนอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว อายุ 90 ปี ก็ยังเรียนได้ ที่ว่าแก่ป้ำๆเป๋อๆชื่อคนที่เคยจำได้ก็นึกไม่ออก อะไรพวกนี้ เป็นการยอมรับตัวเองทั้งสิ้น

5. กำลังสมองจะดีขึ้นถ้าได้ใช้มันอยู่เสมอ
สมองเหมือนกับกล้ามเนื้อตรงที่การฝึกถ้าได้ใช้ให้ทำงานอย่าปล่อยให้มันขี้เกียจ มันจะยิ่งเก่งกล้าขึ้น ท่านยิ่งใช้ความคิด ความคิดของท่านก็จะดีขึ้น หากท่านใช้ความจำอยู่เสมอ ความจำของท่านก็จะดีขึ้นคือท่านจะจำอะไรได้เร็วขึ้น มีอำนาจอย่างหนึ่งที่เราพูดถึงกันเสมอคืออำนาจใจหรือกำลังใจ กำลังอันนี้สะสมอยู่ในสมอง ทุกคราวที่ท่านใช้กำลังใจ หรืออำนาจใจต่อสู้อุปสรรคปัญหา หรือความยากลำบากต่างๆกำลังใจของท่านก็เพิ่มพูนมีกำลังแรงขึ้น

6. จิตใต้สำนึก….คลังอันน่ามหัศจรรย์
ส่วนลี้ลับและแสนจะพิศดารในตัวของเราคือจิตใต้สำนึก หรือบางทีเรียกว่า จิตไร้สำนึก มันเป็นที่เก็บพลังพิเศษ และความจดจำเรื่องทั้งหลายมากมายก่ายกอง แต่มันน่าประหลาดที่เราไม่สามารถให้มันสำแดงฤทธิ์ตามใจเราได้ มันจะแสดงพลังของมันออกมาในขณะที่มีเหตุใหญ่ฉันพลันทันด่วน และแสดงออกมาโดยเราเองก็ไม่รู้ตัว ตแพทย์ได้เพียรใช้จิตสำนึกรักษาโรคจิต อย่างเช่นบางคนอยู่ดีๆ กลัวและเกลียดคนหน้าดำ เจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเกลียดและกลัวอย่างไม่มีเหตุผล จิตแพทย์ต้องใช้วิธีให้จิตใต้สำนึกบอกเรื่องราวแต่หนหลัง ที่ตกตะกอนลงไปอยู่ในจิตแห่งนั้นก็รู้ได้ว่าเมื่อตอนนั้นยังเล็กอยู่ มีคนหน้าดำคนหนึ่งได้เข้ามาปลุกปล้ำบีบคอเขาในบ้าน แต่เขาจำเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะมันตกไปอยู่ในจิตใต้สำนึก เมื่อเขาโตขึ้น มันจึงแสดงอาการออกมาในลักษณะที่เขากลัวและเกลียดคนหน้าดำ นักจิตวิทยากล่าวว่า หากเราหัดพูดกับจิตใต้สำนึกเราก็สามารถสร้างพลังขึ้นในตัวได้ อย่างเช่นเราพูดกับจิตใต้สำนึกว่า คืนนี้เราจะตื่นตีห้า ทำใจให้แน่วแน่ เพ่งอยู่ในการตื่นเวลาตีห้า พอถึงตีห้าจิตใต้สำนึกก็จะปลุกเราเอง ถ้าเราเป็น"คนขลาด"ขี้อายเราพยายามพูดกับจิตใต้สำนึกว่าเราจะไม่ขลาด เราจะไม่ขี้อาย ความขลาด ความขี้อายก็จะหายไปเอง

credit : pooyingnaka.com

อดตาหลับ ขับตานอน



โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของเราถูกจัดระบบให้นอนหลับเวลากลางคืน และตื่นกลางวัน แต่หากวันไหนที่เราจำเป็นต้องอดนอน จะทำอย่างไรจึงจะสดใส ไม่หมดแรงเอาดื้อ ๆ วันนี้สามัญประจำบ้านมีมาบอก

จากการวิจัยพบว่า การนอนหลับประมาณ 8 ชม.เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการนอนที่ดี และเวลากลางวันเมื่อมีแสงสว่าง ต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมนซีโรโตนินออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายทำกิจกรรม ส่วนกลางคืนซีโรโตนินจะลดระดับลงเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน รวมทั้งต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโตนิน ออกมาเพื่อให้ร่างกายง่วงนอน จนกระทั่งใกล้เช้า ก็จะลดลงทำให้เราตื่นมาพอดี หากว่าเราอดนอนถือว่าเป็นการฝืนธรรมชาติอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้เจ็บป่วยได้

เวลาเราอดนอน จะสังเกตได้ว่าบางครั้งจะมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดและเวียนศีรษะ ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เกิดอาการท้องผูก ความดันสูง ซึมเศร้า ท้อแท้ และถ้าหากอดนอนสะสมมาก ๆ อาจร้ายแรงถึงขั้นระบบประสาททำงานผิดปกติ จนเกิดอาการประสาทหลอนได้

ดังนั้น หากแหงนมองนาฬิกาเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ยังไม่ได้นอน ไม่แนะนำให้ดื่มกาแฟ เพราะจะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ และไม่ควรดื่มนมวัว เพราะมีไขมันสูง ใช้เวลาในการย่อย 3-4 ชั่วโมง จะเป็นการรบกวนกระเพาะอาหาร ควรรับประทานอาหารอุ่น ๆ ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ข้าวเหนียว หรือกล้วยนำไปอุ่นให้ร้อน

ขณะเดียวกัน หากตื่นมาแล้วรู้สึกเพลียจากการนอนดึก แนะนำให้อาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นจัด ๆ ประมาณ 3 นาทีและอาบน้ำเย็นอีก 2 นาทีสลับไปมา 3 รอบ จะทำให้ร่างกาย กระฉับกระเฉงขึ้นมากกว่าการดื่มกาแฟหรือชาร้อนในตอนเช้าเสียอีก นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย อาทิ ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้สด ๆ
เพียงแค่นี้ ก็สามารถช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการนอนดึกได้แล้ว แต่ทางที่ดีแนะนำว่าอย่านอนดึกจนติดเป็นนิสัยจะดีกว่า เพราะร่างกายของเราไม่มีอะไหล่ให้เปลี่ยนบ่อย ๆ เหมือนเครื่องจักรนะจ้ะ

Dailynews

credit : teenee.com

ข้อดีของโคลนพอกผิว



เชื่อว่าสาว ๆ ทุกคนรักและใส่ใจกับสุขภาพผิวอย่างแน่นอน เพราะใคร ๆ ก็อยากจะมีผิวที่สวยสดใส ฉะนั้นทุกคนก็ต้องดูแลผิวเป็นอย่างดีสรรหาสิ่งดี ๆ ให้กับผิวพรรณอีกหนึ่งอย่างที่สาว ๆ หลายคนนิยมก็คือโคลนพอกผิว มาดูกันว่าโคลนที่ใช้พอกผิวนั้นจะมีข้อดีอะไรอยู่ในตัวบ้าง เผื่อสาว ๆ คนไหนยังไม่เคยลองใช้ จะได้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเพื่อการดูแลผิวที่ดีค่ะ

โคลนที่ใช้เพื่อการพอกผิวนั้นมีหลายชนิดหลายคุณสมบัติ เช่น โคลนดินขาวจากจีนมีคุณสมบัติช่วยดูดซับความมันได้ดี ถ่านชาร์โคลมีคุณสมบัติดูดซับฝุ่นและสารพิษ เป็นต้น

โคลนนั้นมีที่มาจาก 2 ลักษณะ คือ โคลนที่มีมาจากภูเขาไฟและน้ำพุร้อน เช่น โคลนเถ้าภูเขาไฟในสหรัฐอเมริกา หรืออย่างที่ประเทศไทยก็จะมีโคลนโป่งเดือดแม่สะงา ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งโคลนที่ได้จากแหล่งนี้ จะมีธาตุกำมะถันและโพแทสเซียมอยู่สูงมาก

อีกหนึ่งแหล่งที่มาก็ คือ โคลนจากแม่น้ำ ทะเลสาบและทะเล เช่นจากทะเลสาบเดดซี เป็นต้น โคลนจากแม่น้ำและทะเลสาบจะมีวิตามินและสารพฤกษเคมีอยู่ในโคลนมาก ส่วนโคลนที่ได้จากทะเลจะมีเกลือเป็นส่วนสำคัญ



อีกทั้งยังแบ่งได้อีกเป็น 2 ประเภท คือ โคลนร้อนและโคลนเย็น ซึ่งมีคุณสมบัติของทั้งสองทำหน้าที่ทำความสะอาดผิวให้ชุ่มชื่น อีกทั้งโลนร้อนนั้นยังช่วยรักษาโรคเช่น อัมพฤกษ์ เกาต์ และยังช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตได้อีกด้วย



ส่วนประโยชน์ต่อผิวนั้น โคลนจะช่วยในเรื่องของการทำความสะอาดผิว เพราะเมื่อทาโคลนลงไปบนผิว เมื่อโคลนแห้งจะหดตัวและดึงผิวให้ตึง จะช่วยดูดซับความมัน สิ่งสกปรก รวมถึงสิวเสี้ยนออกจากผิว แล้วสารและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่อยู่ในโคลน จะไปช่วยบำรุงผิวให้มีสุขภาพดีตามคุณสมบัติของโคลนแต่ละชนิด















ที่มา ....Woman's Story

credit : teenee.com

แผ่นหลังเรียบเนียน ใครๆ ก็มีได้



อยากใส่เดรสเกาะอกเว้าหลัง แต่กลับอายแผ่นหลังซะนี่

ว่างๆ ลองสครับแผ่นหลังง่ายๆ โดยใช้น้ำผึ้ง 1 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนชาและเมล็ดอัลมอนด์บดครึ่งถ้วย ผสมจนข้นพอดี
ขัดบริเวณแผ่นหลังหรือช่วงไหล่ ไล่ไปจนถึงต้นแขน พอกทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก ทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้น ทำเป็นประจำ เมล็ดอัลมอนด์จะช่วยขัดเซลล์ผิวให้หลุดออกไปอย่างอ่อนโยน ขณะเดียวกันน้ำผึ้งและมะนาว จะเพิ่มความเนียนนุ่ม ให้ผิวกระจ่างใสขึ้นจนคุณสังเกตได้


ที่มา .... Health Plus

credit : teenee.com

เคล็ดลับการเพิ่มหน้าอกของสาวอกไข่ดาว



สาวอกไข่ดาวฟังทางนี้ค่ะ เคล็ดลับในการเพิ่มขนาดหน้าอกโดยไม่ต้องพึ่งการศัลยกรรม แค่เพียงเลือกเสื้อผ้าให้เป็น คุณก็จะมีหน้าอก Dhoom Dhoom!! ตามที่ฝันได้แล้วค่ะ

อย่าเสียดายเงินกับการซื้อชุดชั้นใน

ชุดชั้นในที่ดีจะทำให้บุคลิกภาพของคุณดีขึ้น จำไว้ว่าอย่าเสียดายกับการเลือกซื้อชุดชั้นใน ยิ่งชุดชั้นในที่มีคุณภาพดี แม้ว่าราคาจะแพง แต่มันจะเป็นสิ่งที่จะช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของคุณ และสำหรับสาวอกไข่ดาวทั้งหลาย การเลือกซื้อชุดชั้นในที่จะเสริมทรวงอกนั้น ควรเลือกชุดชั้นในที่เป็นแบบดันทรง หรือชุดชั้นในที่มีฟองน้ำหนา ๆ ก็จะทำให้ขนาดหน้าอกของคุณใหญ่ขึ้น

การเลือกเสื้อผ้าแบบมีสายคล้องคอ

การเลือกเสื้อผ้าก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้หน้าอกคุณใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะการเลือกเสื้อหรือเดรสที่มีสายคล้องหรือผูกที่คอ เพราะมันจะช่วยดึงรั้งหน้าอกและยกกระชับให้ดูใหญ่ขึ้น แต่ต้องแน่ใจก่อนออกจากบ้านนะคะว่า สายคล้องคอของคุณนั้นแน่นพอที่จะยกกระชับหน้าอก

เน้นส่วนเอว

อีกหนึ่งเทคนิคที่จะทำให้หน้าอกคุณใหญ่ขึ้นด้วยการทำให้เอวเล็กลง วิธีง่าย ๆ คือลองหาเข็มขัดใส่บริเวณส่วนที่เล็กที่สุดของเอว นั่นคือตำแหน่งใต้ราวนมลงมาเล็กน้อย แค่นี้ก็จะทำให้หน้าอกของคุณดูเด่นขึ้น ส่วนถ้าใครไม่อยากใส่เข้มขัดทุกวัน ก็อาจจะหาเสื้อที่จั๊มบริเวณใต้ราวนมก็ได้นะคะ

รายละเอียดบนเสื้อก็ช่วยคุณได้

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่ารายละเอียดบนเสื้อยืดทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้น โดยเลือกเสื้อที่มีกระเป๋าเล็ก ๆ บนหน้าอก หรือเสื้อที่มีจีบใหญ่ ๆ บนหน้าอก ก็จะเป็นการลวงตาทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นได้ และบางครั้งการเลือกเสื้อเชิ้ตแบบฟิต ๆ พอเวลาติดกระดุมเสื้อก็จะทำให้หน้าอกคุณดูเด่นชัดขึ้น


คราวนี้สาวอกไข่ดาวก็สามารถ Dhoom Dhoom ได้ดังใจคิดแล้ว!!!

ที่มา ... นิตยสารแม่บ้าน

credit : teenee.com

โรคออฟฟิศซินโดรม ( OfficeSyndrome )



โรคออฟฟิศซินโดรม เป็นกลุ่มอาการที่พบบ่อยในคนวัยทำงานออฟฟิศ ที่สภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่เหมาะสม

ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย การ นั่งทำงานเป็นเวลานาน ๆ และ การนั่งผิดท่าเช่น การนั่งหลังโก่งนั่งบิด หรือนั่งไขว่ห้าง ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ พฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบทำให้เกิด อาการกล้ามเนื้ออักเสบ และปวดเมื่อย ตามอวัยวะต่างๆ อาทิ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ ส่วนบางรายที่มีอาการของ หมอนรองกระดูกเคลื่อนอยู่แล้ว หากทำงานในอริยาบทที่ผิดจะทำให้มีอาการรุนแรง มากขึ้น และถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ก็อาจทำให้เป็นโรคปวดเมื่อยเรื้อรังได้ เมื่อเกิดปัญหาการทำงานอย่างต่อเนื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จนทำให้เกิด อาการเมื่อยล้า ก็จะต้องหาวิธีเพื่อลดปัญหานั้น ถ้าต้องนั่งทำงาน 5-6 ชั่วโมงต่อวัน จะต้องแบ่งเวลาสัก 5 นาที ต่อ 1 ชั่วโมง ทำกายบริหาร เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย ได้ยืดหยุ่น

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"

ผิวสวยด้วยคอลลาเจน



ใคร ๆ ก็คงเคยได้ยินคำว่า ผิวสวยด้วยคอลลาเจน แล้วทราบหรือไม่ว่า คอลลาเจน คืออะไร วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...



คอลลาเจน คือ โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนังของร่างกาย ซึ่งสานกันเป็นเครือข่ายชั้นผิวหนัง และเป็นโปรตีนสำคัญต่อความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด และช่วยสร้างความตึงกระชับให้ผิว โดยจะทำงานร่วมกับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อีลาสติน


ปัจจัยที่ทำให้เกิดการสลายตัวของคอลลาเจน คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากมลพิษต่าง ๆ เช่น บุหรี่ แสงแดด สารปนเปื้อนในอาหาร และจากการเผาผลาญอาหารในร่างกายไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป


การผลิตคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อขาดคอลลาเจนผิวพรรณที่เคยเต่งตึงจะเริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอยเพิ่มมากขึ้น ความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิวลดลง


การเติมคอลลาเจนให้กับผิวเพื่อหวังผลในการชะลอริ้วรอย ในวงการแพทย์สามารถทำได้โดยการฉีดคอลลาเจนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนในเครื่องสำอางก็มีการนำคอลลาเจนไปผสม สังเกตได้จากฉลากที่ระบุส่วนผสมของ ไฮโดรไลซ์คอลลาเจน อีลาสติน โปรคอลลาเจน เอเอชเอ


นอกจากนั้นการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยชะลอการสลายตัวของคอลลาเจนและช่วยลดการเกิดมะเร็งในร่างกายอีกด้วย


สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ก็ได้แก่ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี ซึ่งเป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูง ในการกำจัดอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน



รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีผิวสวย อย่าลืมหันมาบำรุงกันด้วยคอลลาเจนกันดีกว่า.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


credit : teenee.com

ผู้หญิงใกล้มีรอบเดือนช็อปปิ้งแหลก



ชี้ "ผู้หญิง" มีแนวโน้มช็อปปิ้งจับจ่ายใช้สอยอย่างเมามันในช่วง 10 วันก่อนรอบเดือนจะมา เพราะร่างกายของผู้หญิงเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้หงุดหงิดง่าย จึงหาทางระบายออกด้วยการจับจ่ายใช้สอย

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์ตฟอร์ดเชียร์ ประเทศอังกฤษ ค้นพบข้อมูลดังกล่าวผ่านการซักถามผู้หญิง 443 คน อายุระหว่าง 18-50 ปี เกี่ยวกับพฤติกรรมการจับจ่ายของพวกเธอ โดยมีอยู่ 153 คนในนี้ที่อยู่ในช่วง 10 วันก่อนจะมีรอบเดือน ผลปรากฏว่าผู้หญิงกลุ่มที่ใกล้จะมีรอบเดือนเกือบ 2 ใน 3 ยอมรับว่ามีพฤติกรรมจับจ่ายใช้สอยอย่างไม่บันยะบันยัง และกว่าครึ่งหมดเงินไปกับการซื้อของมากกว่า 25 ปอนด์ หรือประมาณ 1,300 บาทต่อครั้ง แต่มีอยู่ไม่กี่คนที่บอกว่าใช้เงินซื้อของไปแล้วกว่า 250 ปอนด์ หรือประมาณ 13,000 บาท การจับจ่ายใช้สอยอย่างเมามันทำให้หลายคนรู้สึกผิดในภายหลัง

นอกจากซื้อของเพื่อระบายความหงุดหงิดในช่วงใกล้มีรอบเดือนแล้ว

นักวิจัยยังระบุว่า ร่างกายของผู้หญิงจะเกิดการตกไข่ในช่วง 14 วันก่อนมีรอบเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่สภาพร่างกายพร้อมแก่การสืบพันธุ์มากที่สุด ผู้หญิงจึงรู้สึกอยากสร้างแรงดึงดูดต่อเพศตรงข้ามในช่วงนี้จึงใช้เงินซื้อข้าวของมาประทินความงามมากเป็นพิเศษ ทั้งเครื่องประดับ เครื่องสำอาง และรองเท้าส้นสูง เป็นที่มาว่าเหตุใดผู้หญิงจึงจับจ่ายอย่างเพลิดเพลินในช่วงก่อนมีรอบเดือน
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

credit : teenee.com

ทำไมไวน์ต้องทำจากองุ่น



ไวน์เป็นเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ที่ได้จากการหมักน้ำองุ่นกับเชื้อยีสต์ หรือจะเรียกว่าเหล้าองุ่นก็ได้เช่นเดียวกับเหล้าสาโท หรือเหล้าน้ำขาวของเรา

เพียงแต่ต่างกันที่วัตถุดิบที่ใช้ทำ ดังนั้นบางครั้งเราเรียกเหล้าสาโทหรือเหล้าน้ำขาวว่า ไวน์ข้าว เพราะทำจากข้าว แต่ถ้าทำจากผลไม้ชนิดอื่นก็จะเรียกว่าไวน์แล้วตามด้วยชื่อผลไม้ชนิดนั้นๆ เช่น ถ้าทำจากกระเจี๊ยบ หรือสับปะรดก็เรียกว่าไวน์กระเจี๊ยบ ไวน์สับปะรดแต่ถ้าเอ่ยคำว่า "ไวน์" เพียงคำเดียวก็ต้องหมายถึง เหล้าที่ทำจากองุ่นเท่านั้น


องุ่นเป็นผลไม้ที่มีการนำมาทำเป็นไวน์นานมากกว่า 3,500 ปีมาแล้ว จัดเป็นผลไม้ที่เหมาะแก่การทำไวน์มากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่เป็นเช่นนี้เพราะองุ่นพันธุ์ที่ใช้ทำไวน์มีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าผลไม้อื่นหลายประการเป็นต้นว่า มีความหวานหรือน้ำตาลมากเพียงพบแก่การทำไวน์ โดยไม่ต้องเติมน้ำตาลจากแหล่งอื่นลงไป ในองุ่นมีความเป็นกรดพอเหมาะ

ไม่จำเป็นต้องปรับกรดอีก กรดส่วนใหญ่ เป็นพวกกรดทาร์ทาริก และกรดมาลิคที่ช่วยให้ไวน์ที่ได้มีความคงตัวดี นอกจากนั้นองุ่นยังมีสารแทนนินมากพอเพียงที่จะช่วยให้ไวน์ที่ได้มีรสชาติเข้มขึ้น และสารแทนนินในองุ่นจะมีความสมดุลกับน้ำตาลและกรดทำให้รสชาติของไวน์ที่ได้มีความกลมกล่อมอยู่ในตัว ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งอีก ผลองุ่นมีสีแดงเข้มถึงม่วงดำ ดังนั้นจึงสามารถใช้ผลิตไวน์ที่มีสีสวยๆ ตั้งแต่สีเหลืองทอง แดง ชมพู ขึ้นอยู่กับวิธีการหมัก องุ่นเป็นผลไม้ที่มีกลิ่นรสเหมือนกลิ่นของผลไม้หลายชนิดผสมผสานกันที่หาไม่ได้ในผลไม้ชนิดอื่น

นอกจากนี้องุ่นยังมีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของยีสต์อยู่เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องเติมสารอาหารหรือแร่ธาตุอื่นๆ ลงไป ยีสต์ก็สามารถเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์และสารอื่นๆ ได้แล้ว และจากรายงานตอนหลังพบว่าไวน์ที่ทำจากองุ่นจะมีสารช่วยลดไขมันในเลือดได้ด้วย


ขอบคุณข้อมูลจาก ชุมชนการศึกษา

credit : teenee.com

อำนาจการดึงดูด .. ทำไมคุณถึงตัดเขาไม่ขาดสักที



คุณเข้ากันไมได้ แต่ก็ไม่สามารถมีชีวิตแยกจากกันแล้วคุณจะทำลายวงจรรักๆ เลิกๆ นี้ลงอย่างไร

เราต่างเคยยืนจุดนั้นมาทั้งนั้น คุณมีความสัมพันธ์กับหนุ่มคนหนึ่งแล้วต้องเจ็บ คุณเลยเดินจากมา แต่ก็ไม่สามารถอยู่ห่างจากเขาได้เหมือนกัน คุณอาจติดอยู่กับแม่เหล็กคู่รักที่มีแรงดึงดูดและแรงผลักเท่าๆ กัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณกำลังตกอยู่ใน วงจรรักๆ เลิกๆ ต่อไปนี้ คือวิธีถอนตัวเองออกมาจากวงจรนั้น...

แม่เหล็ก... ความเร้าใจ
คุณถูกดึงดูดไว้เพราะ...
เมื่ออยู่กับเขา คุณรู้สึกเหมือนได้ใช้ชีวิตจริงๆ คุณระเบิดอารมณ์เกรี้ยวกราดใส่กัน จากนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขเมื่อได้โผกลับไปสู่ อ้อมแขนเขา พอไม่มีเขา อะไรๆ ก็ดูจืดชืดไปหมด

ควรถอนตัวออกมาเมื่อ...
คุณกำลังสับสนคิดว่าความเกรี้ยวกราดคือความรักใคร่ลุ่มหลงหรือเปล่า ถ้าไม่มีช่วงเวลาที่ได้อยู่นิ่งๆ สงบๆ บ้างเลย นั่นก็ไม่ใช่ความรักหรอก นะ เพราะฉะนั้นถอยห่างออกมาจนกว่าเขาจะสำนึกได้ว่าคุณไม่ได้กำลังเล่นเกมอีกต่อ ไป ความรักต้องการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ แค่ความตื่นเต้นเร้าใจเพียงอย่างเดียว

แม่เหล็ก... ความเคยชิน
คุณถูกดึงดูดไว้เพราะ...
ตอนนี้เขากลายเป็นเพื่อนซี้ปึ๊กมากกว่าคนรักของคุณไปแล้ว คุณเคยพยายามแยกทางก่อนหน้านี้และจิตนาการถึงผู้ชายคนอื่น แต่แม้ความ ตื่นเต้นจะหมดไป คุณก็ยังรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับเขา คุณเลยคิดที่จะ "ลองกลับมาคบกันดูอีกครั้ง" เรื่อยมา

ควรถอนตัวออกมาเมื่อ...
เมื่อความปราถนาหมดไป ความสัมพันธ์ก็เป็นอันจบ เพราะความสบายใจไม่ได้เป็นตัวแทนของความรัก อย่าพยายามหลบหนีด้วยการนอกใจ โดยไม่เจตนา ซื่อสัตย์กับตัวเองแล้วเปิดอกคุยกันเกี่ยวกับอนาคตของคุณดีกว่า

แม่เหล็ก... ราคะ
คุณถูกดึงดูดไว้เพราะ...
คุณรู้ว่ามีบางอย่างขาดหายไป แต่พอคุณอยู่ด้วยกันมันมีแรงดึงดูดอยู่ตรงนั้น คุณเคยพบายามจะจบความสัมพันธ์แล้ว แต่ทุกครั้งมันก็นำไป สู่ความคิดที่ว่า "ขอแค่คืนนี้อีกคืนเท่านั้น" จนคุณคิดว่า คุณสองคนอาจจะต้องอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป

ควรถอนตัวออกมาเมื่อ...
ลิสท์ข้อดีและข้อเสียของความสัมพันธ์ครั้งนี้ ถ้าข้อดีหลักคือ "คุณปราถนาในตัวเขาแทบบ้า" และข้อเสียรวมถึง "การไม่มีอะไรเหมือนกัน เลย" และ "ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย" ก็ถึงเวลาที่ชีวิตต้องก้าวต่อไปข้างหน้าแล้ว

แม่เหล็ก... ข้อดีของเขา
คุณถูกดึงดูดไว้เพราะ...
ไม่ว่าจะเป็นเพราะรูปร่างหน้าตา ฐานะการเงิน หรือฐานะทางสังคม คุณทั้งคู่ต่างก็มีบางสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี การเลิกราจึงทำได้ยาก แต่ถึง อย่างนั้น ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้เป็นไปด้วยดี

ควรถอนตัวออกมาเมื่อ...
ลองคิดดูว่ามันจะเป็นอย่างไรถ้าเขาเกิดหมดตัว ตกงาน หรือเสียโฉม ไปในวันพรุ่งนี้ ถ้าคุณให้ความสำคัญกับรูปแบบการใช้ชีวิตมากกว่า ความรัก ลองคิดด้วยสติปัญญาของคุณดูว่าคุณจะสามารถรับสิ่งที่เขาเสนอให้ได้อย่างไร บ้าง แล้วคุณจะรู้ว่าเขาคู่ควรที่คุณจะคบต่อไปหรือ เปล่า

แม่เหล็ก... พรหมลิขิต
คุณถูกดึงดูดไว้เพราะ...
คุณเชื่อว่าคุณเกิดมาคู่กัน มันเป็นโชคชะตา แม้ต้องทนกับการทะเลาะกันรุนแรงหลายครั้ง คุณก็ยังลงเอยด้วยการกลับมาคบกันอยู่เสมอ เพราะคุณคิดไม่ออกเลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรเมื่อไม่มีเขา

ควรถอนตัวออกมาเมื่อ...
ความผูกพันทางอารมณ์ที่รุนแรงอาจไม่เพียงพอที่จะให้คนสองคนอยู่ด้วยกันได้ ชั่วชีวิต การประนีประนอมและความเห็นอกเห็นใจกันก็สำคัญ เหมือนกัน ถ้าไม่มีสององค์ประกอบนี้ มันก็เป็นได้แค่ความสัมพันธ์ทางกายที่เข้มข้นเท่านั้น





ที่มา ... Cosmopolitan

credit : teenee.com

9 เรื่อง ที่มีแต่ประเทศไทยเท่านั้น Thailand Only



1. ประเทศไทย....ทำไมมีสีประจำวัน ?

ขอบอกว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่รู้มาก่อนเลยจริงๆ จนวันหนึ่งซึ่งเป็นวันศุกร์ใส่เสื้อสีฟ้า ก็มีเพื่อนต่างชาติคนนึงถามว่าทำไมใส่เสื้อสีฟ้าล่ะ ก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร จริงๆ ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่ใส่แล้วสวย (กล้าพูด) เลยตอบไปว่า ก็วันนี้เป็นวันศุกร์ไงล่ะ เพื่อนก็งงใหญ่ว่า แล้วทำไมล่ะ วันศุกร์เกี่ยวอะไรกับสีฟ้า สรุปคุยกันยาวววจนสรุปได้ว่า ที่ประเทศอื่นๆ เค้าไม่ค่อยมีสีประจำวันเหมือนบ้านเรา ที่วันจันทร์สีเหลือง วันอังคารสีชมพู เอ๊ะ แล้วใครเป็นคนคิดริเริ่มให้มีสีประจำวันนะ ?

2. ประเทศไทย....ทำไมดื่มน้ำอัดลม/ เบียร์ต้องใส่น้ำแข็ง

อันนี้หลายคนคงอาจจะเคยได้ยินมาจากเดี่ยว 8 แล้ว (ฮา มาก) เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมต่างประเทศเค้าถึงดื่ม น้ำอัดลมกันแบบไร้น้ำแข็งได้ ซึ่งในทางกลับกับ คนต่างชาติ เค้าก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมคนไทยถึงต้องดื่มแบบใส่น้ำแข็ง ด้วยล่ะ ก็แหม...ประเทศเราเมืองร้อนนี่คะ เอะอะอะไรก็ใส่น้ำ แข็งไว้ก่อน 555+


3. ประเทศไทย .... ทำไมกินข้าวโพดเป็นของหวาน ?

ประเทศแถบตะวันตกพวกยุโรป อเมริกา เค้าไม่ถือว่าข้าว โพดเป็นของหวาน แต่ถือว่าเป็นของคาว น้อยคนมากๆ ที่จะ เอามานั่งแทะกินเปล่าๆ หรือหากเอาไปใส่ไอศกรีมนี่ถือว่าเป็น เรื่องแปลกมาก แต่คนไทยเราเอามานั่งแทะๆ กันจนฟันเหยินซะ งั้นแทะไป ดูหนังไป เพลินจะตาย


4. ประเทศไทย .... ทำไมอะไรๆ ก็ ต้องใส่ซอส ?

ไม่ว่าจะกินอะไร ตั้งแต่ไข่เจียว แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ไก่ ทอด คนไทยเราต้องมีซอสหรือมีน้ำจิ้มไว้เคียงคู่เสมอ แต่ สำหรับในบางประเทศเค้าถือว่าเป็นเรื่องไม่สุภาพเพราะ คนทำอาจจะน้อยใจได้ว่า เอ๊ะ ทำไมต้องใส่น้ำจิ้มอีกล่ะ ที่ฉันทำไปมันไม่อร่อยเหรอ? โดยเฉพาะในร้านอาหารใหญ่ๆ เช่น ถ้าสั่งพิซซ่ามาแล้วดันไปขอซอสเพิ่ม พ่อครัวอาจจะค้อน ใส่ได้นะ


5. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยเก่งเลขจัง ?

เพราะคนไทยชอบจั่ว ... เอ๊ย ไม่ใช่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้ยิน มาหนาหูมากๆ ว่า ถ้าเทียบกับพวกฝรั่งแล้ว คนไทยถือว่าเก่ง เลขมากๆ โดยเฉพาะน้องๆ นักเรียนแลกเปลี่ยนชอบมาเล่าให้ พี่เป้ ฟังว่า 'เลข ม.ปลายที่นั่นง่ายประมาณ ม.1ของที่ ไทยเลยค่ะพี่ หนูชอบเรียนเลขเพราะมันง่ายมาก' เวลา เพื่อนฝรั่งเห็นเราแก้สมการซับซ้อนได้ ทุกคนก็จะ โอ้โห อู้หู amazing thailand จริงๆ !


6. ประเทศไทย .... ทำไมไม่คิดค่า ถุงหิ้ว ?

เวลาที่เราไปซื้อของในหลายๆ ประเทศทั้งในยุโรปและเอเชีย บางประเทศนั้น ตามร้านค้าต่างๆ เค้าคิดค่าถุงหิ้วกันด้วยนะคะ เช่น ถ้าในยุโรปก็จะประมาณ 10 เซนต์ ในเกาหลีใต้ก็จะ 10 วอน อะไรทำนองนี้ค่ะ (อะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด) แต่ทั้ง นี้ทั้งนั้นก็เป็นไปเพื่อรณรงค์การลดโลกร้อนนั่นเอง

แต่! เพราะตั้งแต่เดือนหน้าวันที่ 6 มิถุนายนเป็นต้นไป ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ จะเริ่มเก็บค่าถุงพลาสติกใบละ 1 บาท เพื่อเป็นการช่วยรณรงค์ลดโลกร้อน เพราะฉะนั้นใครไป เที่ยวห้างก็อย่าลืมพกถุงผ้ากันไปด้วยนะคะ

7. ประเทศไทย .... ทำไมมีวิธีอาบ น้ำสารพัด ?

อย่างที่รู้ๆ ว่าฝรั่งไฮโซอาบน้ำกันด้วยฝักบัว ไม่ก็รองน้ำใส่ อ่างแล้วลงไปแช่ แต่คนไทยไม่น้อยหน้าใคร นอกจากฝักบัว หรืออ่างแล้ว เรายังมีขันไว้ตักอาบ มีตุ่มไว้ลงไปแช่อีกด้วย 5555+ เย็นสบาย !!.....

มีเพื่อนคนนึงอยู่ต่างจังหวัด เคยรับเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน จากอเมริกามาที่บ้าน (สมมติว่าชื่อซูซี่) พอถึงเวลาอาบน้ำ ก็พาซูซี่ไปหลังบ้านซึ่งมีตุ่มใส่น้ำและขันวางไว้ ซูซี่ก็บอก OK I see Don't worry ไออาบน้ำได้เอง สบายมาก ยูไม่ ต้องห่วง จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ซักพัก 10 นาทีต่อมา เพื่อนก็เดินกลับไปตามซูซี่ ปรากฏ ว่า !! ภาพที่เห็นคือน้องซูซี่เล่นลงไปในว่ายน้ำอยู่ในตุ่ม ซะงั้น 55555 สรุปว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีในเมืองไทย ตุ่มนั้นก็ตกเป็นสมบัติของน้องซูซี่ไปโดยปริยาย


8. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยต่อราคากันเก่งจัง ?

เรื่องต่อราคานี่ต้องยกให้คนไทยเลยจริงๆ ต่อได้ต่อดี จาก 99 ต้องเป็น 90 .... จาก 49 ต้องเป็น 40 ....จาก 19 ก็ยังจะต่อให้ได้เป็น 2 อัน 35 ได้มั้ยพี่ ? จนฝรั่งหรือชาติอะไรต่ออะไรที่มาเที่ยวเมืองไทยก็เริ่มจะติดนิสัยนี้ไปด้วยแล้วล่ะค่ะ เผลอๆ เดี๋ยวนี้ฝรั่งต่อราคาเก่งกว่าคนไทยซะอีกแน่ะ ถือว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามคนไทยละกันนะ


9. ประเทศไทย..... ทำไมกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันเปล่าๆ แบบไม่ต้ม ?

เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่คงฟังกันมาแล้วจากเดี่ยว 8 .... ขอย้ำกันให้ชัดๆ เลยว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยอร่อยที่สุดในโลก ต้มก็อร่อย กินเปล่าๆ ใส่พริกใส่น้ำมัน บีบให้แตกแล้วมาจกกินนี่ก็อร่อยสุดๆ เพราะบะหมี่ของเราเส้นเล็ก แต่บะหมี่ของพวกญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกงอะไรอย่างนี้เส้นมันจะใหญ่และหนามากๆ เอามากินเปล่าๆ ไม่ได้แน่นอน แถมยังมีจำกัดแค่ไม่กี่รส เช่น รสไก่ รสต้มยำ รสกิมจิ แต่ของเมืองไทยนี่มีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ หมูสับ ต้มยำ เป็ดพะโล้ เย็นตาโฟ หมูน้ำตก สุกี้ ต้มโคล้ง พริกเผา โอ๊ยยย...สารพัด สามารถกินได้ไปเป็นเดือนๆ โดยไม่ซ้ำรส (ถ้าผมไม่ร่วงหมดหัวซะก่อน)


และนั่นก็คือเรื่องราวที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย Thailand Only ! เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ดูน่ารักและน่าภาคภูมิใจมากเลยใช่มั้ยคะ ? ^^ จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเรานี่เอง แต่บางทีอาจจะมองข้ามไปจนคิดไม่ถึง



บทความโดยพี่เป้ เว็บเด็กดี

credit : teenee.com

เชื้อร้ายไม่มีวันตาย 'กาฬโรคปอด'



หลังจากที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง ประชาชนยังขวัญเสียไม่หาย แต่ขณะนี้ชาวโลกต้องหันมาตื่นตระหนกกับกระแสการระบาดครั้งใหม่ของ “กาฬโรคปอด” ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนมีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ศพ โดยทางองค์การอนามัยโลกออกมา เตือนว่า เชื้อที่พบเป็นเชื้อชนิดเดียวกันกับ “กาฬโรคชนิดต่อมน้ำเหลืองอักเสบ” ที่คร่าชีวิตผู้คนในยุโรปมาแล้วถึง 25 ล้านคนเมื่อหลายร้อยปีก่อน

หากถึงคราวที่ต้องเผชิญกับโรคร้ายนี้อีกครั้งหนึ่ง เราควรทำความรู้จัก รวมถึงวิธีการป้องกัน ดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรค อันตรายนี้ โดย นพ.โอภาส การ์ย กวินพงศ์ ผอ.สำนักโรคติดต่อทั่วไป กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า กาฬโรคปอดเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เยอซิเนีย เพสทิส (Yersinia Pestis) มีลักษณะเป็นแท่ง อยู่ใน สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมโดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะเพราะทำให้เชื้อเข้าสู่เยื่อใน ปากได้ง่าย เช่น หนู กระรอก กระต่าย กระแต แมว และสุนัข มีพาหะที่สำคัญ คือ “หมัดหนู” มีขนาดเล็กไม่กี่มิลลิเมตร สามารถ กระโดดได้ไกลถึง 1 เมตร หรือ 200 เท่าของขนาดตัวของมันเอง

วิธีการติดต่อจากสัตว์สู่คนมี 2 ทาง คือ 1.ทางมูลหมัด เชื้อแบคทีเรียที่ถูกถ่ายออกมาพร้อมกับมูลของหมัดอาจเข้าสู่ร่างกายของคนทาง บาดแผลได้ และ 2.หมัดกัด เมื่อหมัดไปกัดสัตว์ฟันแทะต่าง ๆ เช่น กัดหนูที่มีเชื้อโรคก็จะทำให้เชื้อแบค ทีเรียเพิ่มจำนวนในตัวหมัดอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดการอุดตันและหากหมัดไปกัด คนเพื่อดูดเลือดอีกก็จะทำให้กลืนเลือดไม่เข้าจึงต้องคายหรือสำรอกเลือดที่ ผสมเชื้อแบคทีเรียออกมาเข้าสู่บาดแผลของคนที่มันกำลังดูดเลือดอยู่ จึงทำให้เชื้อโรคเข้าสู่คนได้ 2 ทางหลัก ๆ ได้แก่ ต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือด

สำหรับเชื้อโรคที่เข้าทางต่อมน้ำเหลืองหากถูกหมัดกัดที่บริเวณขาจะทำให้ต่อม น้ำเหลืองที่ขาหนีบโตและหากถูกกัดบริเวณแขนก็จะทำให้ต่อม น้ำเหลืองบริเวณรักแร้ หรือคอโต โดยเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้มีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 1-7 วัน จากนั้นจะเริ่มแสดงอาการด้วยการมีไข้ ตามด้วยต่อมน้ำเหลืองโตและแตก เชื้อกระจายเข้าสู่กระแสเลือดทำให้เลือดเป็นพิษในที่สุด หากไม่รีบรักษาอาจลุกลามเข้าไปที่เนื้อเยื่อของปอด ทำให้เกิดปอดบวมและเสียชีวิตอย่างรวดเร็วภายใน 24-48 ชั่วโมง ส่งผลให้ กาฬโรคปอดมีอัตราการป่วยและเสียชีวิตประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกาฬโรคต่อม น้ำเหลืองมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์

นอกจากกาฬโรคปอดจะติดต่อจากสัตว์สู่คนแล้ว ยังสามารถติดต่อได้จากคนสู่คนโดยวิธีการติดต่อเหมือนกับโรคปอดหรือไข้หวัด ใหญ่ คือ หลังจากที่เชื้อเข้าปอดคนหนึ่งแล้วจะสามารถติดต่อไปสู่อีกคนหนึ่งได้จากทาง เดินหายใจด้วยการไอหรือจาม หรือจากสิ่งของปนเปื้อนเชื้อโรคใหม่ ๆ แต่จะแตกต่างกันตรงที่กาฬโรคปอดติดต่อได้ยากกว่า เนื่องจากผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อแล้วจะมีอาการรุนแรงมากถ้าไม่เสียชีวิตทันที ก็จะต้องนอนพักรักษาตัวที่บ้านหรือโรงพยาบาลไม่มีโอกาสไปคลุกคลีกับผู้อื่น หรือออกไปเดินนอกบ้านเพื่อแพร่เชื้อ ไปสู่ผู้อื่นได้ ส่วนกลุ่มเสี่ยงคือบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดหรือบุคคลที่อยู่ในบ้านเดียวกันกับ ผู้ป่วยขณะติดเชื้อ เช่น พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง

อาการของกาฬโรคปอดนี้จะมีไข้ขึ้นสูง หนาวสั่น ปวดหัวรุนแรง ปวดเมื่อยตัว เหนื่อยหอบ ต่อมาจะมีอาการไอถี่ขึ้นและไอเป็นเลือดซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนเสมหะตอนแรกจะเหนียวใสจากนั้นกลายเป็นสีสนิมหรือแดงสด ถ้าไม่รีบมาพบแพทย์เพื่อรักษาจะเสียชีวิตภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งการวินิจฉัยนั้นทำได้โดยการตรวจเลือด น้ำเหลืองและไขสันหลังหรือการวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการต้องระมัดระวังเรื่อง ความปลอดภัยโดยการเก็บเสมหะ ย้อมสีกรัมและเพาะเชื้อในอาหารเพาะเลี้ยงธรรมดา ส่วนขั้นตอนการรักษานั้น นพ.โอภาส อธิบายว่า สำหรับผู้ที่ติดเชื้อแพทย์จะรักษาให้หายได้ด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ สเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) เตตระซัยคลิน (tetracycline) หรือ คลอแรมเฟนิคอล (Chloram phinicol) หลังจากรับประทานแล้วจะหายป่วยได้ภายใน 7-14 วันหรือขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ

ถึงแม้ประเทศไทยจะปลอดจากโรคนี้มานานกว่า 50 ปีแล้วก็ตาม แต่หากมีอาการผิดปกติหรือมีอาการอย่างที่กล่าวไปข้างต้นให้รีบมาพบแพทย์ เพื่อให้ยารักษาก่อนที่จะลุกลามรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือการป้องกันตัวเองให้อยู่ห่างจากโรคร้ายนี้ด้วยการดูแล บ้านเรือนให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะโรคนี้มีหนูเป็นหลักในการเกิดเชื้อโรค ดังนั้นจึงต้องมีการป้องกัน 2 ทางได้แก่ ป้องกันไม่ให้หนูเข้าบ้าน หากบ้านไหนมีเศษอาหารเหลือทิ้งหรือสกปรกรกรุงรังก็จะทำให้หนูเข้าบ้านได้ ฉะนั้นเราจึงควรเก็บข้าวของที่ไม่ใช้แล้วทิ้ง อย่าปล่อยไว้ให้เป็นรังหรือที่อาศัยของหนูและเก็บเศษอาหารให้มิดชิด วิธีกำจัดหนู ถ้าเราไม่สามารถสกัดกั้นหนูได้มีวิธีกำจัดหนู 3 วิธี ได้แก่ ใช้กาวดักหนู กรงดักหนู และวิธีธรรมชาติคือใช้แมวให้กินหนู รวมทั้งควบคุมหมัดของสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว ซึ่งเราสามารถป้องกันหมัดได้ด้วยวิธีทาสารไล่แมลงที่ข้อเท้าและขากางเกง

นอกจากหนูและหมัดที่เป็นตัวการหลักในการนำเชื้อโรคมาสู่คนแล้ว เราต้องรู้จักดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่สะอาดถูกหลักอนามัยและมีประโยชน์ งดการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งหมั่นฝึกฝนปฏิบัติตัวด้านความสะอาดให้ถูกหลักสุขาภิบาลและถูก สุขลักษณะด้วยเพื่อให้ห่างไกลจากโรคร้ายนี้ต่อไป.

credit : pooyingnaka.com

นั่ง ยืน แบบไหน? ลดปวดเมื่อย



การมองข้ามความสำคัญของท่านั่ง ท่ายืนที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา อาทิ อาการปวดเมื่อยหลัง หรือปวดศีรษะ

สำหรับท่านั่งที่ถูกต้อง คือ...

-นั่งหลังตรง โดยไม่ทิ้งน้ำหนักกดสันหลังช่วงล่าง
-ไม่งอหรือห่อไหล่ และนั่งให้เต็มเก้าอี้
-พิงหลังชิดพนัก หาหมอนหรือผ้าหนุนบริเวณส่วนเว้าของพนักพิง
-วางปลายเท้าทั้งสองข้างให้ถึงพื้น และกระจายน้ำหนักให้เท่ากัน
-พับเข่าทำมุม 90 องศา ในระดับเดียวกับสะโพก
-ส่วนแขนปล่อยวางข้างลำตัว พร้อมนั่งแขม่วหน้าท้องเล็กน้อย หายใจให้เป็นธรรมชาติ
- ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง เพราะเป็นการบิดตำแหน่งเชิงกรานให้ผิดลักษณะ ส่งผลให้น้ำหนักขาตกอยู่ที่เส้นเอ็นและกระดูกอ่อน
-ขณะนั่ง หมั่นยืดหลังให้บริเวณอกแอ่นไปด้านหน้า ค้างไว้ครั้งละ 20 วินาที เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน้าท้องและผ่อนน้ำหนักจากข้อต่อสันหลัง

เมื่อต้องการเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็นยืน ให้ขยับตัวไปด้านหน้าของเก้าอี้ ก่อนทิ้งน้ำหนักที่ขา ยืดขาช้า ๆ พยายามอย่ายืนขึ้นในลักษณะสันหลังช่วงเอวโก่งงอ

ส่วนท่ายืนที่ถูกต้อง คือ...

-ศีรษะและคอตั้งตรง
-ไม่เกร็งช่วงไหล่ และกระดูกไหปลาร้า ให้อยู่ในลักษณะผายออกอย่างผ่อนคลาย
-สะโพกทั้งสองข้างให้อยู่ในระดับเสมอกัน
-งอเข่าเล็กน้อย ไม่ควรเหยียดยืดให้ตรงเกินไป
-ข้อเท้าทั้งสองข้าง ควรทิ้งน้ำหนักตัวเฉลี่ยเท่า ๆ กัน

การนั่งและยืนอย่างถูกต้อง นอกจากจะทำให้ดูสง่าผ่าเผยแล้วยังช่วยลดการเสื่อมของข้อต่อ ลดความตึงของเส้นเอ็น กล้ามเนื้อไม่เกิดอาการอ่อนล้า ป้องกันอาการปวดหลัง-ปวดศีรษะ ลดความเสี่ยงจากการเจ็บกล้ามเนื้อฉับพลันได้.

credit : pooyingnaka.com

มะเร็งเข้ากระดูก



นอกเหนือจากโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิต มะเร็ง ถือได้ว่าเป็นอีกโรคหนึ่งที่มีจำนวนผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับโรคดังกล่าว

ขณะที่ความร้ายแรงของมะเร็งหลายชนิดปรากฏความเคลื่อนไหวให้ติดตามกันไม่ว่าจะเป็นมะเร็งปอด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม ฯลฯ มะเร็งเข้ากระดูก เป็นอีกภาวะ ที่สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้ป่วย

การหลีกไกลรู้เข้าใจในโรคดังกล่าวก่อนมะเร็งจะลุกลาม สิ่งนี้มีความหมายความสำคัญ ผศ.นพ.ชัยยุทธ เจริญธรรม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ ให้ความรู้ว่า อย่างแรกคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า มะเร็งเข้ากระดูกที่จะพูดถึงนี้คือ มะเร็งจากที่อื่นเข้าไปที่กระดูกไม่ใช่มะเร็งที่เริ่มจากที่กระดูกซึ่งเป็นคนละอย่างกัน ส่วนมะเร็งที่กระดูกก็มีพบแต่ก็ไม่บ่อย

กลไกของมะเร็งแพร่ กระจายไปได้ทุกส่วน แต่ในความน่ากลัวของโรคมะเร็งจะเริ่มจาก ที่ใดที่หนึ่งและเมื่อขณะที่ก้อน มะเร็งโตขึ้นเซลล์มะเร็งมีโอกาส หลุดเข้าไปในกระแสเลือดไหลไปเกาะตัวอยู่ที่กระดูก แต่มะเร็งทุกชนิดก็ใช่ว่าจะไปที่กระดูก โรคมะเร็งที่พบกระจายไปยังกระดูกมากสุดก็จะมี มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก ฯลฯ ขณะที่มะเร็งบางชนิดอย่างมะเร็งระบบทางเดินอาหารมีโอกาสแพร่กระจายไปที่กระดูกได้เช่นกันแต่ก็ไม่บ่อยเมื่อเทียบกับอัตราส่วนของคนไข้



“ภาวะมะเร็งเข้ากระดูก มีหลายสาเหตุทั้งจากเซลล์มะเร็งในอวัยวะอื่นกระจายไปที่กระดูก โดยทั่วไปที่พบก็จะเป็นไปตามสัดส่วนของมะเร็ง อย่างมะเร็งเต้านมซึ่งพบบ่อยในเพศหญิงในบ้านเราเป็นมะเร็งอันดับต้น ๆ รองจากมะเร็งปากมดลูก เป็นต้น นอกจากนี้ต่อมน้ำเหลืองก็เป็นอีกทางที่มะเร็งกระจายไปได้ แต่ก็มักแพร่กระจายไปในบริเวณใกล้ ๆ แต่กระแสเลือดจะไหลไปยังส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกายและเมื่อกระดูกเป็นอวัยวะสำคัญ การขยับ การเดินต้องใช้กระดูก ดังนั้นหากมีมะเร็งลุกลามไม่เพียงทำให้กระดูกไม่แข็งแรง เกิดความเจ็บปวด ยังรบกวนการดำเนินชีวิตอีกด้วย”

ขณะที่ มะเร็ง โรคที่พบการเจ็บป่วยมีผู้สูญเสียชีวิตจำนวนไม่น้อยในแต่ละปี การ หลีกไกลจากภาวะมะเร็งเข้ากระดูกอันดับแรกคงต้อง กำจัดมะเร็งต้นเหตุก่อนลุกลามเข้าสู่กระดูก เพราะถ้ารักษามะเร็งได้ดีโอกาสที่มะเร็งจะกระจายไปยังที่อื่นก็จะน้อยลงหรือถ้าในกรณีของผู้ป่วยมะเร็งระยะแรกรักษาให้หายขาดได้ มะเร็งก็จะไม่แพร่กระจาย หรือถ้าแพร่กระจายตั้งแต่แรกแล้วรักษาให้ได้ผลดีก็จะทำให้ตัวต้นกำเนิดสงบลง

ถ้าสามารถควบคุมตัวต้นเหตุได้ภาวะดังกล่าวก็จะไม่เกิดขึ้น อย่างถ้ารักษามะเร็งเต้านมได้ดีก็จะไม่แพร่กระจาย การรักษามะเร็งที่เป็นต้นเหตุก็มีวิธีการต่าง ๆ อีกทั้งอาจมีการรักษาอะไรบางอย่างที่เป็นเหตุจำเพาะกับกระดูกที่มะเร็งแพร่กระจายไปโดยตรง วิธีการรักษาก็มีหลายวิธี





ยาสำหรับการรักษาปัจจุบันมีการพัฒนาขึ้น ขณะที่อีกวิธีการหนึ่งคือการรักษาโดยการฉายรังสี ฯลฯ อย่างในกรณีมะเร็งกระจายไปตามกระดูกเชิง กราน ต้นขามีอาการปวดมาก ขยับไม่ได้อาจจะต้องทำการผ่าตัดหรือฉายแสงบริเวณนั้นเพื่อควบคุมอาการหรือทำให้กระดูกมีความแข็งแรงมากขึ้นทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับ ไปใช้ชีวิตดังเดิมได้ เดินได้ ขยับได้ เป็นต้น

“การรักษามะเร็ง ให้ได้ผลดีคงต้องได้รับ ความร่วมมือร่วมกันระหว่างแพทย์และคนไข้ ซึ่งการทานยา การดูแลความแข็งแรงโดยรวมทั่วไปเพื่อให้ผลการรักษาโรคมะเร็งดีขึ้นนั้นมีความสำคัญ หากย้อนกลับไปก็ต้องตัดตอนตั้งแต่ต้นเหตุการไม่เป็นมะเร็ง ซึ่งถ้าดูแลตนเองดีก็จะทำให้ห่างไกลปลอดภัยจากมะเร็ง

อีกทั้งการตรวจสุขภาพ ก็มีความสำคัญเพราะถ้าเริ่มพบความผิดปกติแล้วรีบรับการรักษาโอกาสการเป็นมะเร็งระยะแรกก็จะน้อยลง อีกทั้งโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นแล้วถ้าได้รับการรักษาอย่างสม่ำเสมอรักษาที่ถูกต้องโอกาสจะแพร่กระจายไปยังกระดูกก็จะลดลง”

ส่วนการสังเกต สัญญาณเตือนที่ต้องระวัง แพทย์ท่านเดิมให้ความรู้ต่ออีกว่า โดยทั่วไปคนไข้ที่มารักษาส่วนใหญ่เป็นคนไข้มะเร็งอยู่แล้ว แต่หากมี ความผิดปกติอย่างเช่น มีอาการปวดกระดูกไม่ว่าจะเป็นปวดแขน ปวดขา ปวดหลัง ฯลฯ โดยไม่มีสาเหตุมาก่อนก็น่าจะเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องสงสัยภาวะนี้

“อาการปวดกระดูกอย่างผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุ สิ่งนี้ต้องรีบสงสัย โดยเฉพาะบางบริเวณอย่างกระดูกสันหลัง หากปวดหลังมากอาจเป็นสัญญาณอันตรายอย่างหนึ่งที่จะต้องรีบรับการตรวจให้แน่ใจ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้กระดูกถูกทำลายก็ จะมีอันตรายต่าง ๆ ตามมามากมายและอย่างที่กล่าวการรักษามะเร็งต้นตอได้ดี คนไข้จะมีชีวิตยืนยาวอีกทั้งถ้ามะเร็งกระจายไปที่กระดูกแต่ถ้ารักษาอย่างดีแล้วก็จะทำให้ผู้ป่วยยังคงใช้ชีวิตประจำวันได้อีกยาวนาน”

ดังนั้นหาก มีอาการปวดตามกระดูกผิดปกติต้องไม่รอช้ารีบพบแพทย์เพื่อจะได้ทำการรักษาตรวจค้นภาวะดังกล่าวนี้ซึ่งหากพบจะได้เร่งรักษาแต่แรกเริ่มเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นตามมา แต่ทั้งนี้การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงนับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้หลีกไกลจากมะเร็ง และการที่ไม่เป็นมะเร็งตั้งแต่แรกเป็นสิ่งที่ดี ที่สุด แต่ถ้าเป็นและรับการรักษามะเร็งเร็วขึ้นก็จะไม่ก่อให้เกิดการแพร่กระจาย ส่วนถ้ามะเร็งแพร่กระจายแล้วควรต้องมีความรู้ ความเข้าใจดูแลตนเอง

อย่างไรแล้วแพทย์ท่านเดิมกล่าวฝากด้วยความห่วงใยว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต รับประทานอาหารที่มีประโยชน์มีความหลากหลาย พักผ่อนเพียงพอและออกกำลังสม่ำเสมอ เหล่านี้นั้นเป็นสิ่งสำคัญ ที่ควรเคร่งครัดปฏิบัติ ไม่ควรมองข้ามละเลย เพราะนอกจากช่วยให้มีสุขภาพดีแล้วยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยอีกด้วย.

สรรหามาบอก

- กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข และองค์กรภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ขอเชิญประชาชนผู้รักสุขภาพ ร่วมงาน “มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 6” ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 7-8 ระหว่างวันที่ 2-6 กันยายน 2552 โดยภายในงานมีการนำสมุนไพรต่าง ๆ มาจัดแสดงให้ความรู้และบรรยายสรรพคุณของสมุนไพร รวมทั้งเปิดอบรมหลักสูตรระยะสั้น 2 ชั่วโมงทั้งหมด 21 หลักสูตร เช่น โยคะเพื่อสุขภาพ การทำโลชั่นรำข้าว พร้อมรับใบประกาศนียบัตรและตรวจธาตุเจ้าเรือน ฟรี!

- โรงพยาบาลศิครินทร์ ขอเชิญคุณแม่ตั้งครรภ์ และ ผู้สนใจทุกท่านเข้าร่วมฟังการบรรยาย ในหัวข้อ “เตรียมสมองลูกรักด้วยรหัสอัจฉริยะตั้งแต่ในครรภ์” โดย รศ.ดร.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร สูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา โรงพยาบาลศิริราช ใน วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2552 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคาร 1 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมรับของที่ระลึก สอบถามเพิ่มเติม โทร. 1728 ต่อแผนกลูกค้าสัมพันธ์

- ศูนย์การแพทย์เมดดิไซน์ ขอเชิญร่วมสัมมนา “อยู่อย่างไร...ให้ห่างไกลมะเร็ง” โดย นพ.อาชวิน สตางค์มงคล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ชะลอวัยและการฟื้นฟูสุขภาพโดยแพทย์ทางเลือกใน วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2552 เวลา 09.30-12.00 น. ณ ห้องประชุมศูนย์การแพทย์เมดดิไซน์ ถนนงามวงศ์วาน ฟรีตลอดงาน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-2954-9440

- นิตยสารเชพ จัดกิจกรรม “เชพ รัน ไทยแลนด์ ’09 วิ่งเพื่อสุขภาพและการกุศล” เชิญชวนคุณผู้หญิงทุกวัยหันมาดูแลตนเองผ่านการออกกำลังกาย โดยสมัครเข้าร่วมวิ่งเพื่อสุขภาพ รายได้จากค่าสมัคร (250 บาท) มอบให้สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเต้านม สนใจสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2552 ที่ โทร. 0-2422-9999 ต่อ 4129.



"ว่านหางจระเข้" ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

ว่านหางจระเข้ เป็นสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณมากมายหลายด้าน เช่น ใช้เป็นยารักษาโรค ใช้รับประทานเป็นอาหารเสริมบำรุงสุขภาพ และนำมาสกัดเป็นเครื่องสำอางประทินความงามให้คุณผู้หญิง ทำให้ว่านหางจระเข้เป็นที่รู้จักและใช้ประโยชน์กันมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของว่านหางจระเข้ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ข้อและปล้องสั้น ใบเดี่ยว เรียงรอบต้น อวบน้ำมาก สีเขียวอ่อนหรือเขียวเข้ม คล้ายหางจระเข้ ภายในมีวุ้นใส ใต้ผิวสีเขียวมีน้ำยางสีเหลือง ดอกช่อออกจากซอกใบ ก้านดอกยาวมาก ดอกย่อยเป็นหลอดห้อยลง สีส้ม บานจากล่างขึ้นบน มีสารสำคัญ ได้แก่ 1. วุ้นและเมือกจากใบ ออกฤทธิ์ลดอาการอักเสบและช่วยสมานแผล โดยจะไปส่งเสริมการจับตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์ที่บาดแผลทำให้แผลหายเร็วขึ้น 2. ยางสีเหลืองในส่วนของเปลือกใบ มีสารที่มีฤทธิ์เป็นยาระบายหลายชนิด ช่วยในการขับถ่าย

วิธีรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกและแผลถลอก ให้นำวุ้นจากใบโดยเลือกใบว่านที่อยู่ส่วนล่างของต้น (อายุประมาณ 1 ปี) ล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวออก ล้างน้ำยางสีเหลืองและขูดเอาวุ้นใสปิดพอกบริเวณแผลหรือฝานเป็นแผ่นบางปิดแผลพันด้วยผ้าพันแผลที่สะอาด ทา 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าแผล จะหาย ข้อควรระวังล้างยางสีเหลืองจากส่วนเปลือกออกให้หมดก่อนนำมาใช้ และควรทดสอบว่ามีอาการแพ้หรือไม่ โดยทาวุ้นลงบริเวณแขนด้านใน หากไม่เกิดอาการคันหรือแดงก็ใช้ได้ ส่วน วิธีทำยาถ่าย ใช้ยางสีเหลืองจากเปลือกใบ ซึ่งเมื่อกรีดใบว่านหางจระเข้จะมียางสีเหลือง ๆ ไหลออกมา นำน้ำยางที่ได้ไปเคี่ยวเพื่อระเหยน้ำออกไป เมื่อทิ้งให้เย็นจะ เป็นก้อนสีน้ำตาลดำ เรียกว่า “ยาดำ” ใช้เป็นยาระบาย ขนาดรับประทานประมาณ 250 มิลลิกรัม

นอกจากนี้แล้ว เภสัชกร สมนึก สุชัยธนาวนิช หัวหน้าศูนย์พัฒนายาไทยและสมุนไพร กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ยังให้ความรู้ด้านสรรพคุณของว่านหางจระเข้และวิธีนำมารับประทานเป็นอาหารเสริมสุขภาพว่า การ รับประทานวุ้นว่านหางจระเข้จะช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย โดยเราสามารถทำรับประทานเองได้ที่บ้าน โดยเลือกต้นที่ปลูกแล้วประมาณ 3 ปี จะมีสารประกอบที่สำคัญสูง เมื่อตัดก้านที่ใหญ่ที่สุดมาแล้วใช้กระดาษรองเพื่อดูดซับยางสีเหลืองออกให้หมด โดยตั้งทิ้งไว้ประมาณ 1 คืน นำมาปอกเปลือกแล้วล้างสารปนเปื้อนด้วยแอลกอฮอล์ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋ารับประทานกับน้ำเชื่อม หรือจะนำไปปั่นทำเป็นน้ำว่านหางจระเข้รับประทานก็ได้ ที่สำคัญวุ้นจะเสียคุณค่าทางสารอาหารได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน ส่วน ด้านความงามจะนำว่านหางจระเข้มาสกัดเป็น ส่วนผสมของสารบำรุงผิวพรรณ ปกป้อง แสงยูวี ต้านมะเร็งผิวหนัง

ทราบถึงคุณประโยชน์มากมายอย่างนี้แล้ว อย่าลืมนำว่านหางจระเข้ไปทดลองทำตามขั้นตอนและรับประทานดูนะคะ เชื่อว่าคุณผู้อ่านจะได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อยเพื่อสุขภาพที่ดียิ่งกว่า.

Dailynews

น้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ



ปัญหากลิ่นปากเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้เสียบุคลิกภาพ และแสดงถึงปัญหาสุขภาพในช่องปากอีกด้วย การแก้ไขด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปากบางชนิด ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เกินมาตรฐาน (เข้มข้นมากกว่า 26%) ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดมะเร็งบริเวณศรีษะ และลำคอ

การดับกลิ่นปากด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ขอแนะนำ 2 สูตรน้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ ดังนี้

1. ขิง และมะนาว
ใช้น้ำขิงสด 1 ช้อนชา, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำอุ่น 1 แก้ว
ผสมให้เข้ากัน ใช้กลั้วปากวันละ 1 ครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า

2. ใบฝรั่ง
ล้างใบฝรั่งให้สะอาด นำมาหรือตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำเกลือ 0.9%(หาซื้อได้
ตามร้านขายยาทั่วไป) แช่ไว้ 10-15 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำ เก็บไว้ใช้บ้วนปาก

แม้จะมีส่วนผสมที่หาได้ง่าย และทำเองไม่ยาก แต่การแก้ที่ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง คือ การดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี ด้วยการทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงจะเป็นการช่วยให้สุขภาพดีจากภายในอย่างแท้จริง

ข้อมูลจาก นิตยสาร ชีวจิต

credit : pooyingnaka.com