วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปราบ สิว ด้วยอาหาร



    อาหารไม่ใช่ยาวิเศษรักษาสิว แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ มันช่วยให้ผิวของเราแข็งแรงได้แน่นอน และในบางกรณีก็อาจหยุดยั้งการก่อตัวของสิวใหม่ ๆ ได้ด้วยซ้ำ แต่จะกินอย่างไรดีถึงอยู่ไกลจากสิว เราไปดูกันเลย
   
   อาหารกับสิวเกี่ยวกันไหม ?              สิวเกิดจากความผิดปกติในการผลัดเซลล์ผิว (Keratinization) เซลล์ที่ตายแล้ว จะอุดตันรูขุมขน ทำให้โปรตีนและน้ำมันธรรมชาติของผิวอุดตันอยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งโปรตีนเหล่านี้จะกลายเป็นอาหารสำหรับ P.Acne แบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว โดย ศ.แพทย์ผิวหนัง เอลเลน มาร์เมอร์ จาก Mt.Sinai Hosital ชี้ว่าอาหารอาจจะไม่ใช่บ่อเกิดของสิว จึงไม่มี "อาหารต้านสิว" แต่สำหรับการกินอาหารที่สมดุล รวมถึงสารอาหารบางชนิด ก็จะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นจนมีปัญหาสิวน้อยลงได้
     อาหารต้านสิว   
           งานวิจัยเกี่ยวกับผิวหนังชี้ว่า การกินผักและผลไม้มากๆ จะส่งผลดีต่อร่างกายของเรา รวมถึงผิวหนังด้วย อาหารที่ดีต่อสุขภาพจะช่วยลดอาการอักเสบและลดโอกาสเกิดสิว ทั้งนี้ มีอาหารบางอย่างที่ดีต่อผิวหนังเป็นพิเศษ ได้แก่

      วิตามินเอ ช่วยควบคุมการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว วิตามินเอยังเป็นส่วนผสมหลักในยา Accutane ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาสิวด้วย คุณสามารถพบวิตามินเอได้ในน้ำมันปลา แซลมอน แครอต ผักโขม และบร็อกโคลี่ การมีวิตามินเอมากเกินไปอาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ โดยที่ควรกินไม่เกินวันละ 10,000 IU และสตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานเด็ดขาด

      สังกะสี เคยมีการศึกษาว่าคนที่มีสิวมักจะมีระดับสังกะสีต่ำกว่าปกติ โดยสังกะสีอาจช่วยลดสิวได้ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษต่อแบคทีเรีย PAcne และยังช่วยบรรเทาความระคายเคืองที่เกิดจากสิวด้วย

      วิตามินอีและซี สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองชนิดนี้มีคุณสมบัติอ่อนโยนต่อผิว พบวิตามินซีได้ง่ายในส้ม มะนาว มะละกอ และมะเขือเทศ ส่วนวิตามินอีหาได้จาก
มันเทศ ถั่ว น้ำมันมะกอก อะโวคาโด และผักใบเขียว
      ซีลีเนียม แร่ธาตุชนิดนี้มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยปกป้องผิวจากการบ่อนทำลาย ของอนุมูลอิสระ มีการศึกษาหนึ่งชี้ว่า การบริโภคคู่กับวิตามินอีอาจจะช่วยลดสิวได้ในระยะยาว โดยหากินได้จาก
จมูกข้าว ปลาทูน่า แซลมอน กระเทียม ไข่ และข้าวกล้อง
      กรดไขมันโอเมก้า -3 ช่วยลดอาการอักเสบ และกระตุ้นให้การผลัดเซลล์ผิวเป็นไปอย่างปกติ เราพบโอเมก้า -3 ได้จากปลาน้ำเย็น เช่น 
แซลมอน ปลาทู น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ วอลนัต เมล็ดทานตะวัน และอัลมอนด์
      น้ำเปล่า น้ำทำให้ร่างกายของเราชุ่มชื้น ผิวหนังก็จะเต่งตึงและมีสุขภาพดี ทั้งยังดีต่อกระบวนการเผาผลาญและสร้างผิวใหม่อีกด้วย
    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อเป็นสิว    
      ผลิตภัณฑ์จากนม งานวิจัยจาก George Washington University Medical Center ชี้ว่า นมวัวอาจทำให้เกิดสิวหรือทำให้สิวแย่ลงได้ เนื่องจากฮอร์โมนที่ใช้ในการเลี้ยงวัวนั่นเอง

      น้ำตาล อาหารที่มีดัชนี้น้ำตาล (Glycemic Index) สูง อาจทำให้สิวเห่อได้ในบางคน อาหารเหล่านี้สามารถย่อยได้อย่างรวดเร็ว แถมยังมีระดับอินซูลินสูง ทำให้ฮอร์โมนแอนโตรเจนถูกสร้างมากขึ้น และไปกระตุ้นการผลิตน้ำมัน ซึ่งจะอุดตันรูขุมขนต่อไป อาหารกลุ่มนี้ ได้แก่ ขนมปังขาว มันฝรั่ง น้ำหวาน และขนมขบเคี้ยว
          Tip : เมื่อสิวเห่อ ลองดูอาหารที่คุณกินภายใน 72 ชั่วโมง บางทีตัวการอาจจะอยู่ในมื้อใดมื้อหนึ่งก็ได้





ที่มา ... Lisa















credit : teenee.com

วิธีทำให้ รักแร้ เรียบเนียน



  ความงามที่พร้อมสรรพของหญิงสาวไม่ใช่แค่หน้าตา แต่รวมถึงความสะอาดในส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วย โดยเฉพาะจุดซ่อนเร้นอย่างรักแร้ ที่สาวๆ ทุกคนอยากให้ขาวเนียน ดูดี และไร้กลิ่นกวนใจ
  
กลิ่นใต้วงแขน
         พญ. อวิกา รงค์ทอง แพทย์ด้านผิวหนัง ได้ให้คำแนะนำว่า ?โดยทั่วไปแล้วผิวหนังบริเวณรักแร้เป็นผิวหนังที่บอบบาง ประกอบด้วยต่อมเหงื่อและรูขุมขนจำนวนมาก รักแร้ของเรานั้นจะมีต่อมที่สร้างเหงื่ออยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ชนิดแรกเรียกว่า Eccrine Glands มีหน้าที่คอยสร้างเหงื่อเวลาที่มีอากาศร้อน เหงื่อชนิดนี้จะใสและไม่มีกลิ่น

         ส่วนต่อมเหงื่ออีกชนิดมีชื่อว่า Apocrine Glands เหงื่อที่สร้างออกมาจะมีความเหนียวกว่าและพร้อมที่จะแปลงสภาพทันทีที่สัมผัส กับแบคทีเรียที่มีอยู่ตามผิวหนัง และกลายเป็นกลิ่นรักแร้หรือกลิ่นเต่านั่นเอง โดยแต่ละคนมีต่อม Apocrine ไม่เท่ากัน ใครที่มีน้อยก็ถือว่าโชคดีไป แต่สำหรับผู้ที่ต้องคอยซับเหงื่อ คอยฉีดน้ำหอม คงไม่รู้สึกสนุกหรือมีความสุขเท่าไหร่?

      Care & Clean : เราสามารถแก้ปัญหากลิ่นเต่าได้ง่ายๆ โดยกำจัดเชื้อแบคทีเรียให้มากที่สุด เช่น อาบน้ำบ่อยๆ ใช้สบู่ฆ่าเชื้อทำความสะอาด ใช้โรลออนระงับกลิ่นกาย ใช้สารส้ม แต่ในคนที่มีปัญหามาก อาจต้องขอคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังในการรักษา หรือลดจำนวนต่อมเหงื่อด้วยการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่รักแร้โดยตรง แต่มีข้อเสียคือ จะได้ผลชั่วคราวเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมใหม่ในการใช้แสงเลเซอร์ลดจำนวนต่อมเหงื่อโดยตรงได้ อีกด้วย

  
รักแร้ดำทำไงดี
         ตามปกติแล้วผิวใต้วงแขนจะมีสีคล้ำกว่าผิวส่วนอื่นๆ เล็กน้อย เพราะเป็นส่วนที่ผิวย่นมารวมกันเหมือนคอหรือบริเวณขาหนีบ ฉะนั้นอย่ากังวลกับความขาวของส่วนนี้มากจนขาดความมั่นใจ เว้นแต่ว่าผิวส่วนนี้จะดำคล้ำกว่าสีผิวส่วนอื่นมากกว่าปกติ ก็หาสาเหตุและวิธีดูแลซึ่งไม่ยากค่ะ

      Care & Clean : ปัญหารักแร้ดำเกิดได้จากหลายสาเหตุ การรักษาจึงต้องแก้ไขตามอาการ หากเป็นการแพ้โรลออน ก็ควรเปลี่ยนไปใช้โรลออนยี่ห้อใหม่ที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอม ที่ระบุว่า ?Fragrance-Free? โดยสังเกตส่วนประกอบสำคัญบนฉลาก หากมีชื่อสารที่แพ้ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาระงับกลิ่นแบบอื่นแทน ที่สำคัญความอ้วนและการเสียดสีบ่อยๆ ก็เป็นอีกสาเหตุของรักแร้ดำได้ การแก้ไขจึงควรลดน้ำหนัก หรือจะใช้ยาลดรอยดำหรือไวเทนนิ่งทาควบคู่ไปด้วยก็ได้ แต่ไม่ควรใช้กลุ่มที่มีกรดผลไม้ ไม่ว่า AHA หรือ BHA เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองยิ่งขึ้น
  ขนรักแร้ ดูแลไม่ยาก
           บริเวณ รักแร้เป็นส่วนที่มีเส้นขนปกคลุมเพื่อลดการเสียดสีของผิวหนังใต้วงแขน แต่การกำจัดขนด้วยวิธีผิดๆ ก็อาจทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นอย่างเด่นชัดขึ้นหรือดูคล้ายหนังไก่ ทั้งยังจำกัดการขึ้นของขนเส้นใหม่ กลายเป็นขนคุดอยู่ภายในได้อีกด้วย

      Care & Clean : การกำจัดขนรักแร้เดี๋ยวนี้ทำได้ไม่ยุ่งยากและมีหลายวิธี เช่น

          :: การโกน เป็นวิธีที่ง่าย เร็ว สะดวก แต่ขนที่ขึ้นใหม่จะแข็งและหยาบขึ้น

          :: การถอน เป็นวิธีที่สะดวก ทำให้ขนถูกถอนออกมาทั้งเส้น แต่ปัญหาคือยุ่งยากเสียเวลาและอาจทำให้เกิดปัญหาขนคุดและหนังไก่ได้

          :: การใช้ครีมกำจัดขน อาจทำโดยแวกซ์ขี้ผึ้งร้อนหรือเย็น การแวกซ์มีข้อดีคือ ทิ้งช่วงได้นานถึง 6 สัปดาห์ เพราะขนขึ้นช้า แต่มีข้อเสียคือ หากกระตุกแรงอาจทำให้รากขนขาด เกิดเป็นขนคุดอยู่ภายในได้

          :: การทำลายขนกึ่งถาวร เป็นการถอนขนด้วยเลเซอร์หรือใช้แสงทำลายตำแหน่งสร้างขนโดยตรง การกำจัดขนรักแร้ด้วยเลเซอร์ต้องทำ 4 ครั้งขึ้นไป ซึ่งผลการรักษาจะอยู่ที่ประมาณ 6 ปี





ที่มา... Fiest Magazine 









credit : teenee.com

เทคนิคการเลือกสีผมให้ผิวสว่างสดใส



 เคยสงสัยไหมว่าทำไมทำสีผมที่คุณทำมาใหม่นั้นกลับทำให้ใบหน้าดูซูบซีดหรือ หมองคล้ำกว่าเดิม สาเหตุมาจากการที่คุณเลือกเฉดสีผมที่ไม่เข้ากับสีผิวนั่นเอง ก่อนอื่นต้องมาพิจารณาดูว่าเฉดสีผิวของคุณนั้นเป็นอย่างไร 
   
  ผิวขาวอมชมพู 
         สาวผิวสีนี้ดูมีสุขภาพดี สีผมที่เหมาะคือ เฉดสีบลอนด์ ควรเลือกสีบลอนด์ประกายหม่น หรือโทนน้ำตาลทอง และทองแดงประกายน้ำตาล แล้วเสริมด้วยการทำไฮไลต์โทนอ่อนกว่าหนึ่งระดับเพื่อช่วยให้ผิวดูไม่ซีดจน เกินไป

      
ผิวขาวอมเหลือง 
         สีผิวนี้ทำให้ใบหน้าดูซีดเซียวหรือเหนื่อยล้าไม่สดใส จึงควรเลือกทำสีผมโทนสีแดง เช่น ประกายม่วงเหลือบแดง น้ำตาลแดงประกายม่วง หรือแดงเข้มประกายแดง

      
ผิวสองสีหรือสีน้ำผึ้ง 
          เหมาะกับผมโทนสีทอง เช่น สีส้ม น้ำตาลทองเคลือบประกายทอง สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีเนื้อ หรือทำไฮไลต์สีน้ำตาลอ่อนไล่ระดับ เพื่อช่วยให้ใบหน้าดูสว่างขึ้น

     
 ผิวสีแทน ผิวคล้ำหรือผิวสีเข้ม 
          เหมาะกับผมสีน้ำตาลแก่ น้ำตาลช็อกโกแลต สีมอคค่า และควรเพิ่มประกายทองแดง หรือเพิ่มมิติด้วยไฮไลต์ไล่ระดับ เพื่อขับให้สีผิวไม่ดูคล้ำจนเกินไป

       
  แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมที่มีคุณภาพดีและมีการ บำรุงเส้นผมหลังทำสีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพผมสีที่สวยเงางาม ไม่แห้งแตกปลายจนหมดสวย


ที่มา ... คู่หูเดินทาง

















credit : teenee.com

10 อันดับ สิ่งสกปรกที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน


10. ฟองน้ำล้างจาน
ด้วยวัสดุและรูป ลักษณ์ของมันที่เต็มไปด้วยรูพรุนที่สามารถใหน้ำ อากาศ ออกซิเจน เศษอาหารเข้าไปอาศัยอยู่ จึงเป็นแหล่งชุมชนแออัดของเหล่าเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี วิธีทำความสะอาดง่ายๆก็คือ เอาไปต้มหรือให้ความร้อนผ่านไมโครเวฟซัก 60 วินาที

9. ซิ้งค์อ่างล้างจาน

เห็นสะอาดอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะสะอาด ถึงจะไม่ได้ใช้บ่อยเท่าอย่างอื่น แต่มันเป็นบริเวณที่สกปรกที่สุดในบ้าน ซึ่งแต่ละตารางนิ้วนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 500,000 ตัว วิธีทำความสะอาดขจัดคราบที่คู่ควรกับตัวเลขห้าแสนนี้ ก็คือ ใช้โซดาไฟหรือน้ำส้มสายชูราดทำความสะอาดมันซะ แล้วตามด้วยน้ำเปล่าตามไปอีกที
8. อ่างอาบน้ำอ่างอาบน้ำเป็นรังเพาะเชื้อโรคชั้นดีที่หลายคนมองข้ามไป รู้อย่างนั้นแล้วเราจึงควรทำความสะอาดมันสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย
7. รีโมททีวีอุปกรณ์บันเทิงประจำ ครัวเรือนที่เรามักจะลืมทำความสะอาดมัน ทั้งๆ ที่เราออกจะหยิบสอยใช้มันออกจะบ่อย ทำความสะอาดบ้านครั้งหน้าก็อย่าลืมหยิบรีโมทไปเช็ดถูกันบ้างนะ

6. ตะกร้าช้อปปิ้ง
ห้างสรรพสินค้ามีทุกสิ่งให้คุณเลือกสรร ฉันใดก็ฉันนั้น ตะกร้าช้อปปิ้งในห้างก็มีทุกสิ่งให้เชื้อโรคเลือกที่จะอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะมาจากสินค้าที่อยู่ในห้างเอง เช่น ของสด ของแห้ง สารเคมี หรือมาจากมือของท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน ที่พึ่งจับราวบันไดเลื่อน หรือพึ่งออกมาจากห้องน้ำห้างมา
5. ฝาที่นั่งชักโครกความจริงมันน่าจะสกปรกได้มากกว่านี้รึเปล่า แต่รู้หรือไม่ว่าฝาที่นั่งชักโครกนั้นมีการออกแบบวัสดุและพื้นผิว ให้ง่ายต่อการทำความสะอาดและยากที่เชื้อโรคจะอาศัยอยู่ แถมเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ ในการทำความสะอาดอยู่เสมอ (ไม่เอื้ออำนวยขนาดนั้นก็ยังติด 1 ใน 10) โดยรายงานระบุว่า ทุกตารางนิ้วบนฝานั่งชักโครกมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 295 ตัว
4. โทรศัพท์มือถือ
โทรศัพท์มือถือ เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ราคาแพงสำหรับเชื้อโรคเลยก็ว่าได้ ด้วยความเป็นพื้นที่สมบูรณ์ เพียบพร้อมไปด้วยปัจจัยความเจริญของเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิอุ่นๆ เหมือนร่างกายมนุษย์ที่เชื้อโรคชอบ พร้อมซอกซอยร่องหลืบง่ายต่อการกบดานหลบหนี พร้อมพรั่งด้วยโภชนาการและอาหารจากน้ำลายและขี้ไคลมนุษย์ ถ้าโทรศัพท์มีชีวิตเราอาจต้องพามันไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดยาแทนที่จะไปมาบุญครองเพื่อไปซ่อมมันก็เป็นได้
3. คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์
คนติดคอม ติดเนทหลายๆคน คงคุ้นชินกับพฤติกรรมการกินขนมขบเคี้ยว หรือแม้กระทั่งกินอาหารมื้อหลักหน้าจอคอมพ์ หรือแม้กระทั่งสาวๆเองที่ชอบหวีผมแต่งหน้าบนโต๊ะทำงาน เวลาว่างก็เม้าท์พ่นไฟแชทหน้าเวบแคม รู้หรือไม่ ว่าคีย์บอร์ดนั้นเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี โดยเฉพาะเศษอาหาร ผิวหนัง เหงื่อไคลต่างๆ ที่ผู้ใช้คอมทำตกลงไปในคีย์บอร์ดแล้วไม่ค่อยให้ความสนใจ เนื่องจากเพราะมันตกลงไปในร่อง ทำให้ยากต่อการมองเห็นว่าสกปรกและยากต่อการทำความสะอาด เป็นที่มาว่าทำไมจึงไม่มีใครสนใจ จะทำความสะอาดกันเท่าไหร่นัก จึงทำให้คีย์บอร์ดกลายเป็นแหล่งหมักหมมเพาะพันธุ์เชื้อโรคชั้นดี รายงานระบุว่าคีย์บอร์ดที่ได้รับการสำรวจนั้นสกปรกกว่าฝานั่งชักโครกถึง 40 เท่า แต่ถึงขนาดต้องใช้วิกซอลเข้มข้น 40 เท่าราดคีย์บอร์ดเพื่อทำความสะอาดด้วยรึเปล่ารายงานไม่ได้ระบุไว้
2. สวิตช์เปิด/ปิดไฟ
"สุขภาพวันนี้...ต้องเล่นกับไฟ" วัตถุที่มนุษย์สัมผัสบ่อยมากเท่าไหร่ เชื้อโรคก็ชอบตามไปอยู่มากเท่านั้น โดยเฉพาะปุ่มสวิทปิดเปิดไฟที่ต้องกดกันอยู่ทุกวัน ผู้เชี่ยวชาญเผยทุกๆ ตารางนิ้วบนสวิตช์ไฟที่เราเอานิ้วไปโดน เชื้อโรคสามารถย้ายสำมโนครัวตามติดมือไปได้ถึง 217 ตัว
และอันดับที่ 1 คือ
1. เงิน ได้แก่ ธนบัตร เหรียญ
แบงค์ที่เราหยิบจ่ายซื้อของกันอยู่ทุกวันนี้ มีเชื้อโรคอยู่ประมาณ 135,000 ตัว ถึงจะเชื่อว่าใครๆก็อยากมีเงินเยอะๆ จะได้รวยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องสะสมเชื้อโรคไปตามความรวยด้วยนะ



credit : teenee.com

นสพ.จะหายสาบสูญในปี 2583




องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ระบุ นสพ.ในรูปแบบกระดาษจะหายสาบสูญไป และนสพ.ในรูปแบบดิจิตอลจะเข้ามาแทนที่ภายในปี 2583

          นายฟรานซิส เกอร์รี องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก หรือ ไวโป กล่าวว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะไม่มีหนังสือพิมพ์ในรูปแบบของกระดาษอย่างที่เห็นใน ทุกวันนี้ และว่าผลการศึกษาหลายครั้งก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่าหนังสือพิมพ์จะหายสาบสูญไปในปี 2583 โดยในสหรัฐ หนังสือพิมพ์จะหายไปภายในปี 2560 และว่าในสหรัฐขณะนี้หนังสือพิมพ์ที่เป็นกระดาษขายได้น้อยกว่าหนังสือพิมพ์ ดิจิตอล

          นอกจากนี้ ในหลายเมืองยังมีร้านขายหนังสือน้อยลง แต่ปัญหาสำคัญในเวลานี้ก็คือ การจัดเก็บรายได้ นายเกอร์รีกล่าวว่า การปกป้องลิขสิทธิ์เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากมีผลต่อรายได้ของบรรดานักเขียน


ที่มา 
news.voicetv

เมื่อ “เรา” ต้องการไม่เท่ากัน




 ความต้องการในที่นี้หมายถึงความต้องการทางเพศ ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายมีความต้องการทางเพศแตกต่างกันอาจก่อให้เกิดปัญหาในชีวิตคู่ได้ เพราะสัมพันธภาพทางเพศที่สมบูรณ์ควรสร้างความพึงพอใจให้แก่ทั้งคู่        บอกในสิ่งที่ต้องการ
        เป็นขั้นตอนแรกที่ทำได้ไม่ยาก โดยตัวเราเองต้องพิจารณาว่าแท้จริงแล้วความต้องการเป็นอย่างไร ต้องการสิ่งใด จากนั้นให้สื่อสารสิ่งที่ต้องการไปยังคู่ของเรา โดยพูดให้ชัดเจนและตรงประเด็นเลือกเวลาที่ทั้งคู่มีสภาวะทางอารมณ์ปกติ ไม่ใช่ช่วงเวลาที่หงุดหงิดหรือมี เรื่องบาดหมาง และสิ่งที่สำคัญคือต้องไม่ตำหนิติเตียนอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ให้พูดกันอย่างเปิดอก

        
พบกันครึ่งทาง
        บางคู่อาจต้องใช้วิธีการต่อรอง โดยมีการกำหนดแผนการในเรื่องความต้องการทางเพศร่วมกันไว้ จากนั้นก็ทำตามแผน แต่หากทำตามแผนแล้วไม่ได้ผล อาจต้องมีการต่อรองและสร้างแผนร่วมกันใหม่อีกครั้ง แม้คนสองคนจะมีความต้องการทางเพศที่แตกต่างกัน แต่การต่อรองและร่วมกันประนีประนอมเพื่อหาจุดตรงกลางที่ลงตัวก็จะทำให้ทั้งสองมีความสุขร่วมกัน ได้
       ปัญหาทางอารมณ์
        นอกจากสำรวจตัวเองในเรื่องความต้องการทางเพศแล้วสิ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการทางเพศ อาจเป็นเรื่องความล้มเหลวในเรื่องเซ็กส์ที่เคยผ่านมา จนทำให้รู้สึกกังวล ไม่มั่นใจในการที่จะสร้างสัมพันธภาพครั้งใหม่ ดังนั้นจึงต้องสำรวจอารมณ์ของตัวเองร่วมไปด้วย แต่ อย่างไรก็ตาม อย่าปล่อยให้อดีตทำร้ายปัจจุบันและอนาคตกับคนที่เรารัก

       
เหนื่อย หรือ แค่เบื่อ
        เมื่อสำรวจตนเองและพบเหตุผลที่ส่งผลต่อ สัมพันธภาพแล้ว ลองถามตัวเองหรือคู่ของเราว่า จริงๆ แล้วเรารู้สึกเหนื่อยเกินไปหรือแค่รู้สึกเบื่อ เพราะบางครั้งอาจต้องตั้งคำถามว่าอีกฝ่ายหนึ่งทำให้เราเกิดอารมณ์ได้หรือไม่ ถ้าไม่เคยทำให้เกิดอารมณ์ได้เลย อาจต้องลองเล้าโล้ม หรือเพิ่มบทยั่วยวนกันและกันให้มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อรสชาติของการมีเซ็กส์

      
เซ็กส์ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตคู่
         ไม่ปฏิเสธว่าเซ็กส์เป็นองค์ประกอบสำคัญหนึ่งของสัมพันธภาพของคนสองคน แต่เซ็กส์ก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักของสัมพันธภาพเพราะเซ็กส์คือสิ่งสะท้อนถึงความรัก ความเอาใจใส่ต่อกัน คู่รักอาจจะนอนกอดกันได้ทั้งวันโดยไม่ต้องมีการร่วมรักกันเลยก็ได้ เพราะนั่นก็ให้ความสุขกาย สุขใจได้เช่นเดียวกับการมีเซ็กส์

       
ความรักที่จริงใจ
         ไม่ได้มาจากการมีเซ็กส์กันบ่อยครั้ง แต่ความรักขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ และพูดจากันอย่างเข้าอกเข้าใจ ซึ่งจะทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้นในจิตใจของคนทั้งสองฝ่ายเมื่อ "เรา" ต้องการไม่เท่ากัน

















ที่มา ... I DO









































credit : teenee.com

8 วิธี แก้ปัญหาชวนทะเลาะให้ตรงจุด



ในเส้นทางชีวิตที่เรียกว่าความรักนั้น แน่นอนว่ามันไม่ได้ราบเรียบเสมอไป ย่อมพบอุปสรรคบ้าง บางคู่ยิ่งทะเลาะกันก็ยิ่งรักกัน แต่ไฉนบางคู่พอทะเลาะกันกลับกลายเป็นเลิกกันไปเสียนี่ บางทีเขาเหล่านั้นอาจยังไม่ได้ลองใช้ความพยายาม ที่จะปรับความเข้าใจ จูนคลื่นกันให้ติดเหมือนเดิม ก่อนที่ความผิดใจจะสร้างรอยร้าวให้รัก ลองมาพยายามทำความเข้าใจซึ่งกันและกันดูดีกว่าค่ะ
1. จับจุดให้ตรงปัญหา
         หากคุณเป็นอีกหนึ่งคู่ที่มักมีเรื่องทะเลาะผิดใจกันครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งต่อไปก่อนที่จะทะเลาะถกเถียงกัน หยุดสักนิดแล้วคิดดูซิว่า อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำคุณต้องมาทะเลาะกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่าง นี้ แก้ปัญหาที่สาเหตุดีกว่ามัวมาทะเลาะกันถึงผลที่ปรากฏออกมาแล้ว เพราะอย่างไรสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่หากคุณแก้ได้ที่สาเหตุของมัน ก็เท่ากับว่าตัดต้นตอตัวที่จะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในครั้งต่อไปได้

2. พูดคุยอย่างเปิดอก

          นี่อาจเป็นคำแนะนำอีกประการหนึ่งที่คุณได้พบได้เห็นได้อ่านผ่านตาบ่อย ๆ แต่มันจะไม่มีความหมายเลย หากคุณไม่ได้ลองทำ หลาย ๆ ครั้งที่เราเกิดน้อยใจ หรือไม่พอใจอะไรแล้วก็เก็บเงียบเอาไว้ไม่ยอมบอกอีกฝ่าย ด้วยคิดว่าเงียบ ๆ ไว้ดีกว่าไม่อยากพูดมากเดี๋ยวจะทะเลาะกัน แต่การเงียบงันเอาไว้แบบนี้นี่เอง ที่สุดท้ายกลายเป็นระเบิดลูกโต เมื่อระเบิดขึ้นมาทีมีแต่แย่กับแย่
         
           ในการที่คุณคิดว่าเงียบ ๆ เอาไว้ดีกว่า ไม่อยากพูดให้มีปัญหา แม้จะใช้ได้ผล (ว่าไม่เกิดปัญหาในขณะนั้น) แต่ก็เป็นการสะสมปัญหา ประการแรกคือคุณต้องเปลี่ยนความคิดตัวเอง ที่ว่าพูดออกไปแล้วเดี๋ยวจะทะเลาะกัน เป็นหากเราไม่ชอบใจก็ต้องบอกให้อีกฝ่ายทราบว่าเรานึกคิดอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องที่พูดเพื่อชวนทะเลาะ แต่เป็นเรื่องที่พูดคุยเพื่อให้มีความเข้าใจตรงกันมากกว่า หันมาพูดคุยอย่างเปิดอกตั้งแต่ตอนนี้ เป็นการตัดตอนปัญหาที่อาจจะสะสมไปแสดงผลในวันข้างหน้าค่ะ


3. ไม่เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยคำพูดแทงใจดำ          หลายครั้งทีเดียวที่เราได้ยินคนที่ทะเลาะกันพยายามสรรหาคำพูดมาว่าอีกฝ่าย ให้เจ็บแสบ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกชื่อด้วยคำหยาบคาย ขุดเรื่องน่าอาย หรือเรื่องที่เขาไม่อยากนึกถึงขึ้นมาพูด แน่นอนที่สุดว่ามันทำให้รู้สึกสาสมใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายถึงกับสะอึก หรือโมโหจนหน้าดำหน้าแดงกับคำพูดเช่นนี้ แต่นั่นจะมีประโยชน์อะไรเล่า เมื่อคำพูดเหล่านี้มีแต่ทำให้สถานการณ์มันแย่ลง ๆ และนำไปสู่ความแตกหักเท่านั้น ระงับความโกรธโมโห ณ ขณะนั้น แล้วกัดฟันไม่ให้คำพูดเหล่านั้น หลุดออกมาได้จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง

4. คิดก่อนพูด
          สืบเนื่องมาจากด้านบน ไม่มีอะไรน่าเสียใจยิ่งกว่าการพูดคำพูดที่ไม่ได้กลั่นกรองออกมาจากสมอง ไปกระทบจิตใจอีกฝ่าย ยามโดนว่าอะไรมา ก่อนที่จะตอกกลับสวนไปในทันทีทันควัน หยุดคิดสักนิดแล้วให้สมองได้ฉุกสกัดเอาใจความที่อีกฝ่ายต้องการสื่อออกมาให้ ได้ก่อน หากมันเป็นเพียงคำพูดที่เขาพูดมาด้วยอารมณ์ก็คงป่วยการที่จะไปต่อล้อต่อ เถียงด้วย คุณอาจเป็นฝ่ายเงียบเสียก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ตาม ดีกว่าปล่อยให้วาจาที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองหลุดออกมาทำร้ายคนที่คุณรัก และมันจะกลับมาทำร้ายให้คุณเสียใจในภายหลังด้วย

5. ไม่ใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือ
          เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กกลายเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการระบาย อารมณ์ไปแล้ว การตั้งสเตตัสประชดแฟน หรือเข้าไปโพสต์ในหน้าวอลล์ของอีกฝ่าย คงไม่ใช่เรื่องดี เป็นการประกาศความเคลื่อนไหวในความสัมพันธ์ของคุณทั้งสองให้ใคร ๆ รู้ไปทั่ว อย่างน้อยก็เพื่อน ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายของคุณหรือเขา ทั้ง ๆ ที่เรื่องแบบนี้มันน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคนไม่ใช่หรือ หากจะคุยกันมาเจอกันซึ่ง ๆ หน้าหรือว่ายกหูโทรศัพท์คุยกันยังจะดีเสียกว่า

6. ฟังกันมากขึ้น
          นอกจากจะคุยกันให้มากขึ้น ยังต้องฟังกันให้มากขึ้นด้วย แต่ละคนย่อมมีปัญหาต่าง ๆ กันไป บางเรื่องที่เราคิดว่าไม่น่ามีอะไร แต่ความจริงแล้วอาจจะเป็นปัญหาของอีกฝ่ายก็ได้ ลองหันมาฟังความคิดเห็นของกันและกันให้มากขึ้น นอกจากจะฟังตอนเขาตั้งใจพูดให้เราฟังแล้ว ลองฟังแบบเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากบทสนทนาในชีวิตประจำวันดูด้วย หากเขารู้ว่าคุณเองก็ตั้งใจที่จะเรียนรู้ปัญหาของเขาแบบนี้ ต่อให้รู้สึกโกรธก็คงไม่จบลงด้วยการทะเลาะผิดใขกันแน่นอน

7. ไม่เรียกร้องต้องการสิ่งใดจากอีกฝ่ายมากเกินไป
          การเป็นคนรักกันแน่นอนว่าย่อมมีอะไรพิเศษให้แก่กันมากกว่าคนทั่ว ๆ ไป แต่คงไม่ดีหากสิ่งนี้กลายเป็นความคาดหวังว่าคุณจะต้องได้สิ่งพิเศษ ๆ และเรื่องดี ๆ จากเขาเสมอไป โดยที่ตัวคุณเองก็ไม่เคยให้อะไรกลับคืนไปแก่เขาด้วยซ้ำ หากควบคุมความรู้สึกเรียกร้องต้องการนี้ของตัวเองได้ รับรองว่าความรักคุณจะราบรื่นขึ้นแน่นอนค่ะ

8. ให้เวลาแก่กันมากขึ้น

          อีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่กลายเป็นเหตุชนวนของความไม่เข้าใจกันก็คือ ต่างคนต่างไม่มีเวลาให้กัน เพียงหนึ่งข้อเดียวนี้สามารถนำมาซึ่งปัญหาใหญ่หลาย ๆ อย่างตามที่กล่าวมาข้างต้นได้ หากคนรักกันไม่มีเวลาให้กัน ก็คงไม่มีเวลาที่จะพูดหรือฟังกันอย่างเข้าใจได้แน่นอน แบ่งเวลาหลังเลิกงานนั่งกินข้าวเย็น หรือเดินเล่นด้วยกัน เพียงสักนิดเท่านี้ก็ช่วยดึงให้คุณทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น..ทั้งตัวและ ใจเลยทีเดียว
ที่มา : meedate.com
ภาพประกอบจาก : Google Search


หุ่นฟิตไร้พุงของหนุ่มๆ




แนะนำวิธีลดพุงให้คุณสาว ๆ มามากแล้ว ขอแนะนำวิธีลดพุงให้คุณหนุ่ม ๆ กันบ้าง จะมีวิธีไหนบ้าง เรานำคำตอบมาบอกแล้ว
1. ร่างกายไม่สามารถเลือกกำจัดเฉพาะไขมันที่พอกอยู่ที่พุงได้ คุณต้องกระตุ้นการเผาผลาญไขมันทั้งตัว ทำได้ง่าย ๆ โดยเพิ่มกิจกรรมเคลื่อนไหวตลอดทั้งวัน เช่น เดินขึ้นลงบันไดแทนขึ้นลิฟต์ หรือจอดรถไกลๆ แล้วเดินเร็ว ๆ
เพื่อให้ทันเข้าประชุม หรือซื้อน้ำดื่มขวดใหญ่สัก 2 ขวดหิวไว้ให้แขนทั้งสองข้างก่อน เริ่มเดินช็อปปิ้งกับหวานใจ และหากเธอทำงานอยู่ใกล้ ๆ ลองงดการโทรศัพท์ แล้วใช้วิธีเดินไปหาแทน จะได้เผาผลาญไขมันที่สะสมให้เป็นเพลิงรักของคุณเสีย
2. งานวิจัยยืนยันมาว่า ไขมันจะสลายตัวได้ง่ายหากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เย็น ดังนั้นช่วงลดหน้าท้อง อาจต้องงดอบซาวนา หรือสตรีมสักเดือน หันมาอาบน้ำเย็นหลังการออกกำลังกาย แถมยังได้ช่วยชาติประหยัดพลังงาน อีกต่างหาก
3. เหล้าและเครื่องดื่มบำรุงกำลัง มีผลทำให้พุงคุณป่องออกมาได้ เพราะฉะนั้นลงมือจัดการเกี่ยวกับตัวปัญหาตั้งแต่วันนี้กันเลย
4. เข้านอนเร็ว ดับไฟ งดดูทีวีก่อนนอน ฝึกทำสมาธิเพื่อการหลับสมบูรณ์ที่สุด เพื่อโกรทฮอร์โมนจะหลั่งออกมาในช่วงหลับ เป็นกุญแจสำคัญที่เร่งการเผาผลาญไขมันได้อย่างราบคาบ
5. ทานมื้อเย็นอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะมีผลต่อการหลั่งโกรทฮอร์โมน เพราะฉะนั้น วางแผนกินมื้อเย็นให้เร็วขึ้น งดปาร์ตี้และบุฟเฟต์รอบดึก เผลอ ๆ สิ้นเดือนอาจเหลือค่าขนมมาซื้อกางเกงตัวใหม่ ต้อนรับเอวที่กระชับของคุณได้
6. ควบคุมการทำงานในช่องปากของคุณในแต่ละมื้อ การรับประทานอาหารช้า ๆ จะช่วยควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ และควรเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลายครบถ้วนทุกมื้อถ้าเป็นไปได้
7. อย่ามัวแต่บริหารหน้าท้องอย่างเดียว คุณต้องกระตุ้นการเผาผลาญไขมันทั้งตัวด้วย การเน้นกล้ามเนื้อท้องอาจทำให้หน้าท้องคุณกลายเป็นซิกแพ็ก แต่ถ้าไขมันไม่หายไปซิกแพ็กก็อาจเหลือแค่แพ็กเดียว ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า การเล่นกล้ามเนื้อต้นขา และสะโพกเป็นการกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้ดีที่สุด
8. ไม่ต้องถึงกับฟิตหน้าท้องทุกวันหรอก ลองจัดโปรแกรมฟิตกล้ามเนื้อหน้าท้อง 2-3 เซ็ต ไว้สักสองวันต่อสัปดาห์ สลับกับการเล่นส่วนอื่น ๆ ด้วยการเล่นที่เหมาะสมอาจทำให้กล้ามเนื้อมีเวลาฟอร์มตัวได้ดีกว่า และทำให้กล้ามท้องเกิดได้เร็วกว่าด้วย
9. จุดอ่อนที่ทำให้พุงเกิดอยู่เสมอ คือ คุณมีท่ายืนหลังค่อม ทำให้พุงดูเป็นกองไขมันน่าเกลียดน่ากลัว แม้จะไม่อ้วนก็ตามที การยืนหลังตรง อกผาย ไหล่ผึ่ง จะกระตุ้นกล้ามเนื้อหน้าท้องให้ตึงตัวตลอดเวลา ฝึกยืน เดิน และออกกำลังกายในท่าตรงหลังเสมอ จะทำให้คุณสมาร์ตทั้งตัวครับ ไม่ใช่แค่พุง
10. ท่าบริหารหน้าท้องที่นิยมกันมากที่สุด คือ ท่านอนยกขาหนีบ เท้าลอย ยกศีรษะ เรียกว่า Abs Crunch with Leg Lift ถ้าให้ทันสมัยและเวิร์กยิ่งขึ้น ก้ต้องทำบนลูกบอลออกกำลังกาย



credit : teenee.com

ผมแตกปลายทําไงดี?



ผมแตกปลายทําไงดี?

ผมแตกปลายนั้นเกิดจากชั้นเซลล์ของเส้นผมแตกแยกตัวกันและไม่สามารถกลับมาสมานกันได้สนิทอีกครั้งไม่ว่าจะแก้ไขด้วยวิธีใดก็ตาม การใช้ครีมนวดผมก็แก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราว เมื่อสระผมครั้งต่อไปก็จะแตกปลายอีก

วิธีแก้ปัญหาผมแตกปลาย

วิธีที่ดี คือ การตัดปลายที่แตกออกและเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงเช่น ธาตุเหล็กในเนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ผักขม วิตามินบีในจมูกข้าว กล้วย กรดอะมิโนในเมล็ดธัญพืช ไข่ และธาตุสังกะสีในข้าวซ้อมมือ ปลาซาร์ดีน เป็นต้น

นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีและความร้อนสูงกับเส้นผมเป็นประจำเพื่อป้องกันผมแห้งเสียแตกปลาย สาวๆ อาจเจอปัญหาผมแตกปลายได้ง่ายกว่าคุณหนุ่มๆ เพราะผมที่ยาวกว่าและผ่านการทำเคมีและความร้อนมากกว่านั่นเอง
ที่มาจาก : n3k.com
ภาพประกอบจาก : google Search


credit : teenee.com

5 วิธีป้องกันเส้นเลือดขอด



1. อย่าปล่อยให้น้ำหนักเกิน เพราะความอ้วนจะทำให้ข้อเท้าและขาต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น โอกาสที่เรียวขาจะหมดสวยก็มีมากตามไปด้วย

2. อย่ายืน เดิน หรือนั่งไขว้ห้าง นานติดกันหลายชั่วโมง

3. ถ้าคุณเลี่ยงการเดินหรือยืนนานๆไม่ได้ ต้องหาเวลาให้เท้าได้พักเป็นระยะๆ ด้วยการเขย่งปลายเท้าขึ้นๆ ลงๆ หลายๆ ครั้ง และบีบนวดนิ้วเท้าทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เพื่อให้เลือดเดินสะดวก

4. ท่าบริหารขาเพื่อป้องกันเส้นเลือดขอดที่เหมาะกับสาวๆ ออฟฟิศ คือ ท่านั่งหลังตรง ยกขาขึ้นหนึ่งข้างให้สูงระดับสะโพก  จากนั้นก็หมุนข้อเท้าเป็นวงกลมไปมา ต่อด้วยการงุ้มเท้าชี้ขึ้นลง จะรู้สึกว่าทำแล้วเส้นเลือดที่ขาจะผ่อนคลาย จากนั้นทำสลับไปทำที่ขาอีกข้าง

5. อย่าใส่ถุงเท้ายาวหรือถุงน่องที่รัดเหนือเข่า เพราะถุงน่องจะไปรัดให้เลือดเดินไม่สะดวก และเนื้อผ้าควรจะเป็นผ้านิ่งที่ยืดหยุ่นดี ไม่บีบกล้ามเนื้อมากเกินไป
ที่มาจาก : n3k.com
ภาพประกอบจาก : google Search


credit : teenee.com

ลาง หลอน สัตว์บอกเหตุ



จิตวิทยา ลาง-หลอน สัตว์บอกเหตุ
 
'ดี-ร้าย' ใจกำหนด ??คนไทยเราให้ความสนใจกับเรื่องราว “ความเชื่อ” ที่สืบทอดกันมาเรื่อย ๆ นับแต่โบราณกาลจนปัจจุบัน ดังนั้น...แม้เมืองไทยยามนี้จะมีปัญหาใหญ่ ๆ ทั้งทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม ที่น่าเป็นห่วง แต่...กระแส “นกแสกผี” ก็สามารถที่จะแทรกเข้ามาครองพื้นที่ความสนใจของคนไทยได้อย่างแพร่หลายในวง กว้าง“ลางบอกเหตุ” “ลางดี-ลางร้าย” ยังมีคนไทยเชื่อกันอยู่และกับ “สัตว์” คนไทยก็เชื่อกันว่า “บอกเหตุ” ได้ ?!?

ทั้งนี้ กรณี “สัตว์บอกเหตุ” เป็นลางดี-ลางร้ายนี้ ก็มีสัตว์หลายชนิดที่เชื่อกันว่าบางพฤติกรรมของมันนั้นสามารถบ่งบอกสิ่งที่ จะเกิดได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วกรณีที่มีการพิสูจน์หรือติดตามเก็บข้อมูลกันอยู่ในเชิง “วิทยาศาสตร์” ที่เกี่ยวโยงกับ “ปรากฏการณ์ธรรมชาติ” ก็ดูจะคล้าย ๆ กันอยู่เหมือนกัน ไม่ ว่าจะเป็นสัตว์อย่าง... มด, แมลงต่าง ๆ, กบ, หิ่งห้อย, นก, สัตว์ป่าต่าง ๆ ฯลฯ กับการที่จะเกิด... ฝนตก, น้ำท่วม, น้ำป่า หรือแม้แต่ แผ่นดินไหว

อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับความเชื่อของคนไทยเรื่องลางดี-ลางร้ายที่จะเกิดกับคนอันเนื่อง จากพฤติกรรมของสัตว์นั้น ก็ยกตัวอย่างเช่น... จิ้งจก ก็มีความเชื่อเรื่องจิ้งจกร้องหรือ “จิ้งจกทัก” ก่อนจะออกจากบ้าน ก็จะมีทั้งแบบที่เชื่อว่าเป็นลางดีและลางร้าย ซึ่ง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” เคยนำเสนอไปบ้างแล้วเมื่อไม่นานมานี้

ตุ๊กแก เมื่อมาอยู่ในบ้าน คนโบราณส่วนหนึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับวิญญาณบรรพบุรุษมาช่วยคุ้มครอง แต่ถ้า “ตุ๊กแกร้องตอนกลางวัน” ตั้งแต่เช้ามืดถึงก่อนพลบค่ำ เชื่อว่าเป็นการบอกเหตุร้าย และบางคนก็มีสูตรความเชื่อนอกเหนือจากนี้โดยนับจำนวนครั้งการร้องของตุ๊กแก แล้วจึงตีความว่าเป็นลางดีหรือลางร้ายกันแน่

แมว และสัตว์อื่น ๆ ถ้าเป็น สีดำ ถ้าก่อนออกจากบ้านมันวิ่งตัดหน้าจากด้านขวาไปซ้าย เชื่อกันว่าเดินทางจะมีอันตราย เจออัปมงคล ต้องแก้เคล็ดโดยเปลี่ยนไปออกทางอื่น และกับ “แมวดำ” ใครเคยดูหนังไทยแนวผี ๆ สมัยก่อนคงจะคุ้น ๆ กับฉากแมวดำกระโดดข้ามโลงศพแล้วทำให้เกิด “ผีเฮี้ยน”

ผึ้ง ถ้า “ผึ้งทำรังในเขตบ้าน” เชื่อว่าเจ้าของบ้านจะมีโชค และเชื่อว่าถ้าไปไล่ทำลายรังจะเกิดหายนะ, สัตว์ป่าต่าง ๆ ถ้าเข้ามาในเขตบ้านจากทางทิศเหนือและตะวันตก เชื่อว่าจะให้ลาภ แต่ถ้าเป็นทิศอื่น ๆ จะอัปมงคล, ตัวเงินตัวทอง-ตะกวด-... เชื่อว่าเป็นอัปมงคล แต่ถ้าเข้าบ้านให้พูดแต่สิ่งดี ๆ ก็เชื่อว่าจะแก้เคล็ดให้เกิดสิ่งดี ๆ ได้
ที่ว่ามาก็ตัวอย่างความเชื่อเรื่อง “สัตว์บอกเหตุ”

และกับ “นก” ก็มีความเชื่อเรื่องการ “บอกเหตุ”

เช่น... “นกถ่ายมูลรดหัว” จะเป็นนกอะไรก็ตาม ถ้าคนอยู่บริเวณบ้านแล้วนกบินมาถ่ายรดหัว เชื่อว่าจะมีเหตุร้ายให้เดือดร้อน และถ้ากำลังจะออกจากบ้านแล้วโดนนกถ่ายรดหัว เชื่อว่าจะไปเจออันตราย อุบัติเหตุ

อีกาดำ จริง ๆ แล้วกาชนิดต่าง ๆ เป็นนกที่อายุยืน แต่กลับมีความเชื่อว่า “กาดำเป็นนกนำสารจากดินแดนแห่งความตาย” บางคนก็มองมันเป็นสัญลักษณ์ของความ “ดุร้าย-สกปรก-ขี้ขโมย” ซึ่งกับสถานที่สำคัญ ทางการเมืองของไทยอย่าง ทำเนียบรัฐบาล ก็เคยมีอีกาดำมาทำพฤติกรรมแปลก ๆ ให้ฮือฮา ให้วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่เนือง ๆ อย่างเช่นบินมาจิกตีกันบนยอดตึกไทยคู่ฟ้า ภายในทำเนียบฯ

กับ พฤติกรรมแปลกของนกที่เกิดที่ทำเนียบฯ ก็เคยมีเหตุ “นกเอี้ยงตามจิกตีตัว...ขนาดใหญ่” ราวกับโกรธแค้นสุด ๆ ซึ่งก็วิจารณ์กันแซดว่าเป็นอาเพศ-ลางไม่ดี และนักการเมืองซีกรัฐบาลขณะนั้นก็ถูกแนะนำให้แก้เคล็ด

สำหรับ นกแสก นี่ดูจะโดนหนักหน่อย เพราะถูกเชื่อว่าเป็น “นกผี” ซึ่งนอกจากกรณีที่เพิ่งเป็นข่าวดังแล้ว โบราณก็เชื่อกันว่าถ้านกแสกบินผ่านหลังคาบ้านแล้วร้อง หรือเกาะหลังคาบ้านไหน “เป็นลางบอกเหตุว่าจะมีคนตาย” ซึ่งก็มีเรื่องเล่าที่ไม่มีการยืนยัน ประมาณว่าบางคนกำลังป่วยหนักอยู่ พอเจอลางแบบนี้ก็ยิ่งใจเสียไปเลย !!

ทั้งนี้ กับเรื่องลางบอกเหตุจากสัตว์นี้ ถ้าจะว่ากันในเชิงจิตวิทยา ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา บอกว่า... ถ้าเป็นเรื่องของเสียงนกแสกที่ร้องตอนกลางคืน ทางด้านจิตวิทยาแล้วเสียงจะเป็นรูปธรรม เป็นเหมือนตัวแทนของอารมณ์ ซึ่งความมืดของเวลากลางคืนที่เงียบสงัดจะควบคู่กับความกลัวของมนุษย์อยู่ แล้ว ยิ่งมีเสียงร้องที่ฟังดูน่ากลัวของสัตว์ต่าง ๆ ก็ยิ่งทำให้เป็นการ “กระตุ้นอารมณ์ความกลัวของมนุษย์” ให้มีมากขึ้นไปอีก

นักจิตวิทยา ระบุอีกว่า... เรื่องของเสียงนั้นเป็นเรื่องของความรู้สึกทางความคิด เมื่อมีเสียงที่กระตุ้นอารมณ์กลัว จิตของมนุษย์ก็จะอุปาทานไปเอง ทำให้เกิดอาการ “หลอน” ได้ ยิ่งเป็นเสียงร้องของสัตว์ในเวลากลางคืนที่มักจะฟังดูโหยหวน ก็ยิ่งกระตุ้นความกลัวของมนุษย์ เพราะเสียงโหยหวนจะคู่กับความน่ากลัว อย่างเช่นเสียงของสุนัขที่เห่าหอนหาคู่ในเวลากลางคืนที่มีผลกับอารมณ์ของคน “ทำให้นึกถึงเรื่องผี” ก็คล้าย ๆ กรณีเสียงนกแสก

“ความเชื่อว่า พฤติกรรมของสัตว์เป็นลางบอกเหตุ มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทย แต่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งจากเรื่องความเชื่อนั้น ก็นำไปสู่เรื่องของจิตใต้สำนึกสะสม สัตว์ที่ถูกกำหนดว่าเป็นลางบอกเหตุร้าย อาจจะมีส่วนเชื่อมโยงกับการที่เคยคุกคามมนุษย์ หรือเกี่ยวพันในเหตุการณ์ร้าย ๆ มาก่อน จึงถูกตั้งหรือกำหนดให้เป็นลางบอกเหตุร้าย” ...ดร.วัลลภระบุทิ้งท้ายในทางหลักจิตวิทยา
ณ ที่นี้...มิใช่จะมาหักล้างความเชื่อเรื่อง “ลาง-สัตว์บอกเหตุ”

เป็นแต่เพียงสะท้อนถึงความเชื่อ...ควบคู่กับศาสตร์จิตวิทยา

“ดี-ร้าย” บางทีก็ “จิตใจมนุษย์” นี่แหละ...ที่ “กำหนด”.
 







credit : teenee.com

อ่านใจคนใกล้ตัวจากการดื่มนม




อ่านใจคนใกล้ตัวจากการดื่มนม นมรสจืด
           คุณเป็นคนที่มีความกระตือรือร้นสูง มีความพยายามที่จะทำอะไรได้สำเร็จ เป็นผู้นำที่ดี แต่ทว่าเป็นผู้ตามที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะที่คุณไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ ทำให้คุณถูกมองว่าเป็นเด็กเอาแต่ใจ แต่ภายในอ่อนไหวมาก
นมเปรี้ยว
           คุณเป็นคนที่ช่างจินตนาการ สดใส ร่าเริงอยู่เสมอ ด้วยนิสัยขี้เล่นของคุณทำให้คุณมีเพื่อนเยอะ และไม่เคยเหงาเลยทีเดียว แต่เมื่อไหร่ที่คุณขาดเพื่อน คุณจะเหงาจนไม่อาจทนได้ ถึงดูเหมือนว่าภายนอกจะเป็นคนสดใสร่าเริง แต่ภายในลึกๆ แล้วเป็นคนที่ดื้อรั้น ไม่ค่อยยอมฟังใครซักเท่าไหร่
นมรสสตรอเบอร์รี่
           คุณเป็นคนทันสมัย ชอบแต่งตัว ชอบไปเที่ยว ชอบงานปาร์ตี้ มีเพื่อนเยอะ แต่คุณมักจะเป็นตัวก่อปัญหาให้กับเพื่อนเสมอๆ คุณเป็นคนที่ใฝ่ฝันว่าจะแต่งงานให้ได้เพราะคุณจะถือเรื่องการขึ้นคานเป็นพิเศษ
นมช็อกโกแลต
          คุณมีความมั่นใจในตัวเองสูง ความซื่อสัตย์เต็มร้อย คุณเป็นคนที่มักจะเคลียร์ปัญหาของเพื่อนได้ดี เพื่อนๆ มักมาปรึกษาปัญหากับคุณ คุณเก็บความลับได้ยอดเยี่ยม จึงมีแต่คนไว้ใจ แต่คุณเป็นคนที่จะไม่เคยปรึกษาปัญหาของคุณกับใคร เพราะคุณคิดว่าถึงบอกไปก็ช่วยอะไรไม่ได้
นมถั่วเหลือง
           คุณเป็นคนน่ารัก ขี้อาย อ่อนโยนและอ่อนหวาน ใครๆ ก็ต่างชอบคุณ เพราะคุณเป็นเด็กเรียบร้อย พูดจาเพราะ ไร้คำหยาบ แต่คุณเป็นคนที่ขี้แยร้องไห้ง่ายมาก และยังขี้กลัวอีกด้วย แต่เมื่อถึงเวลาที่คุณจะแสดงอะไรต่างๆ คุณก็กล้าที่จะทำ ถ้าเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คุณเป็นคนไหวพริบดี รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่น แต่คุณก็ไม่เคยจะพูดออกมาเพราะกลัวว่าคนอื่นจะโกรธคุณ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก


credit : teenee.com

สถานะ แรงๆ เจ็บๆ



อยากเป็นคนที่เธอบอกรักให้ฟัง ไม่ได้อยากรับฟังเธอบอกรักคนอื่​น


เวลาไปกินหมูกะทะกับแฟน อย่าลืมบอกให้พนักงานเปลี่ยนเตา​นะ... "ถ่านไฟเก่า"จะได้ไม่ครุ


ความรักเริ่มต้นจาก "เข้าตา" พัฒนาต่อมาเป็น "เข้าใจ" แล้วสุดท้ายกลับกลายเป็น "เข้ากันไม่ได้


ความรักที่ไม่สมหวัง ก็เปรียบเสมือน คนสองคนกำลังดึงหนังยางไว้ คนปล่อยไม่เจ็บ แต่คนที่เจ็บคือ คนที่ ... ไม่ยอมปล่อย


ช: เธอ.....เราว่าเราเลิกกันเถอะ
ญ: จะเลิกได้ไง เรายังไม่ได้คบกันเลยนะ
ช: งั้นเรามาคบกันนะ ^^



เบอร์ของเธอ, ไม่เคยโทร, แต่ไม่เคยลืม 


คนนอนดึกไม่ใช่คนว่างงาน แต่เป็นคนที่ยุ่งอยู่กับการคิดถึงใครสักคน


อ่านหนังสือก่อนนอน ก็ยังจำได้ซ้ำๆหน้าเดียว คือหน้าเธอ


ใน facebook ถ้าไม่เป็นเพื่อนก่อนก็เป็นแฟนไ​ม่ได้
ในชีวิตจริงบางครั้งเป็นเพื่อนแ​ล้วก็หมดโอกาสเป็นแฟน 



ให้เลิกเหล้าบุหรี่..พี่ก็ยอมได้อยู่
ให้เลิกเจ้าชู้.. พี่ก็เลิกขี้หลี
ให้เลิก.. อ่ะ อันนี้อาจใช้เวลาหลายปี
แต่ให้เลิกหน้าตาดี .. อันนี้พี่ทำไม่ได้จริงๆ



แค่รอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากแบบไม่ตั้งใจ .. อาจทำให้ใครบางคนคิดมากไปหลายวัน


เมื่อก่อน บอกว่า กูเป็นดัง "ลมหายใจ"
แล้วตอนนี้จะมาทิ้งกูไปเตรีย​ม "เครื่องช่วยหายใจ" แล้วรึยัง!!!



แปลกนะบางที..
คนที่ "นอกใจเรา" กับคนที่อยู่ "ในใจเรา" เป็นคนๆ เดียวกัน



คำคมที่ "บาดใจ" ส่วนใหญ่จะออกมาจาก หัวใจที่ "บาดเจ็บ"


เธออาจไม่ใช่รักแรกพบ แต่ตอนจบขอให้เป็นเธอ


โลกของเราก็เหมือนนาฬิกา เธอเป็นเข็มสั้น ฉันเป็นเข็มยาว เดินเร็วเพื่อตามหาเธอ ฉันเดินเจอเธอบ้าง... แต่คงไม่มีวันได้เดินเคียงข้างกัน


 ‎"รัก" ไม่ยาก ... แต่ลำบากมาก "เวลาลืม" !!


"นอน" กะใครกุก็ไม่"ว่า"
"เล่นเกมส์" กลับช้ากุก็แค่"บ่น"
"โกหก" ทุกวี่วันกุก็แค่"ทน"
ถามหน่อย มีกี่คนทนได้อย่างกุ!!!



ผมบอกว่า " ชอบนะ " ... เธอบอกว่า "อ๋อ เหรอ "
ผมบอกว่า " คิดถึงเธอ " ... เธอบอกว่า " เว่อร์ไปมั๊ยพี่ "
ผมบอกว่า " ผมรักแท้ " ... เธอบอกว่า " ตอแหลสิ้นดี "
ผมบอกว่า " ขอซักที " ... เธอบอกว่า " พี่เอามาเลย 3 พัน "!!!



"เลิกกัน" ไม่ยาก , "ใช้ชีวิต" หลังจากนั้นต่างหากที่ยากก​ว่า !!!!


ครู : ข้อ 1 ตอบอะไร
นร. : ความรัก
ครู : ข้อ 2 ตอบอะไร
นร. : ความรัก
ครู : ตอบอะไรของเธอนิ
นร. : ความรักคือคำตอบของทุกอย่าง



อย่าทำตัวเป๊น "ควาย" ที่ไปไหนแร้วต้องมี "เขา" จงทำตัวเป็นเราที่ไม่มี "เขา" เราก๊ไม่ "ตาย"


ในเมื่อ "ผอม" ไม่ได้ .. เราก็ควรจะเรียนรู้ที่จะ "อ้วน" อย่างน่ารัก !!! ..


สิ่งที่ยากกว่าการ "จากลา" คือการทำตัวเป็น "คนธรรมดา" .. ที่ "ไม่รู้จักกัน" !!! ..


ตั้งแต่วันที่เธอ "เดินจากไป" .. ก็ลืมไปเลยว่า ฉัน "ยิ้มได้" และ "หัวเราะเป็น" !!! ..


เมื่อเริ่มรัก มักไม่มี "เหตุผล" .. พูดวนๆ ว่า "เธอเป็นคนที่ใช่" .. !!!
ตอนจะไป "เหตุผล" ถล่มถลาย .. สรุปง่ายๆ ว่า "รักเราไม่เท่ากัน" .. !!!



‎~ ข้อเสียของการ "ไม่เจ้าชู้" ~

คือ เวลาแฟนไม่อยู่ .. "ไม่รู้จะไปกินข้าว กับใคร" ???..


สิ่งที่ยากกว่าการ "ทำใจ" ...

คือ การเห็น "คนรัก" เดินจากไป "พบรักครั้งใหม่" .. ทั้งๆที่ยังไม่ได้ "เลิกลา" !!! ..



อาการ "อกหัก" อาจจะทำให้หลายๆคนทุกข์ทรมาน "เจ็บเจียนตาย" !!! .. 
แต่รู้เอาไว้เถอะว่า .. "ครึ่งหนึ่งของความเจ็บ" มันยังไม่เท่า "ในวันที่แม่คลอดเรา" ..!!!



~ ประกาศ ~ รับสมัคร "แฟน" !!! ..
1.) ต้องหล่อ .. เพราะว่ากู "ไม่สวย"
2.) ต้องรวย ... เพราะว่ากู "จน"
3.) ต้องอึด! ... เพราะว่ากู "ทน"
4.) ต้องมีรถยนต์ เพราะว่า "กูเดิน" !!! ..



บางครั้ง! มันไม่สำคัญหรอกว่า .. "เขายังรักเราอยู่หรือเปล่า" ?? ..

แต่มันสำคัญตรงที่ เขาจะรู้บ้างหรือเปล่า .. ว่าเรา "ยังรักเขา" ?? ..



อย่าเรียกคนที่ "เขารอคุณ" .. ว่า "ตัวสำรอง" !!! ..

เพราะว่า .. เขาคือ "คนที่พร้อมจะรักคุณทุกเวลา" !!! ..



‎"ผู้ชาย" ชอบพูดว่า .. ผู้หญิงชอบ "เรียกร้องความสนใจ" .. !!!

แล้วเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า .. "ให้ความสนใจพอหรือยัง" ?? ..



"เธอขาว .. ฉันดำ" >> จะพูดทำไม ??.. >> ถ้าหาก "ปิดไฟ อะไรๆก็ลงตัว" !!!.. ^^



เคยไหม?.. ที่คิดถึงใครคนนึง แต่ ไม่กล้าโทรหา ...
เคยไหม?.. นั่งมองนาฬิกา แต่ไม่รู้ว่า "รออะไร" ...
เคยใหม?.. ฝืนยิ้ม ให้อีกคนสบายใจ .. ทั้งที่ข้างใน "โคตรชา" ..
เคยไหม?.. แคร์เขาตลอดเวลา จนแทบบ้า ไม่เป็นตัวเอง ..
เคยไหม?.. เรานั่งเหงานั่งเศร้า .. แต่เขา "สบายใจ" ..
เคยไหม?.. ที่มาช้าไป หมดสิทธ์ใช้ คำว่า "แฟน" !!! .. 



บางครั้ง ที่เราเสียใจกับการ "เลิกกัน" .. จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะ สิ่งร้ายๆ ที่เขาทำกับเรา ??..

แต่ เป็นเพราะ .. เราคิดถึง "สิ่งดีๆ".. ที่ไม่มีวันหวนคืนกลับมา ต่างหาก !!! ..



เวลาที่เรา "ทะเลาะ" กับแฟน .. แล้วเถียงไม่ทัน ให้ทำหน้าตาขึงขัง แล้วถามไปดังๆ !!!

ว่า .. "Dot-A" กับกูมั้ยสาดดด!!.. หลังจากที่แฟนเรายืนงงๆ "เราก็คงวิ่งไปไกล" ...^^



จำได้ว่า ตอนแรก "ที่รักกัน" .. เธอบอกกับฉันว่า มันเป็นเรื่องของ "เราสองคน" ...

แต่พอ "หมดรัก" ไม่มีตัวตน .. บอกฉันว่า "ไม่ใช่เราสองคน" แต่มันเป็น "เรื่องของกู" !!!..



"ขอโทษ" .. เป็นคำพูดที่ทุกคนใช้มากที่สุด เมื่อเวลา "ทำผิด" .. !!!

แต่ "คำขอโทษ" จะไม่ศักดิ์สิทธิ์ .. กับคนที่ "ทำผิด" ในเรื่องเดิมๆ !!! ..



"ผู้หญิง" .. ไม่ใช่ "ที่ระบาย" ของผู้ชาย .. !!!
"ผู้หญิง" .. ไม่ได้ มีทุกสิ่งให้สรรหา ...
"ผู้หญิง" .. ไม่ใช่ "เจ้าหญิง" หรือ "นางฟ้า " .. !!!
"ผู้หญิง" .. ก็แค่ "คนธรรมดา" > ที่มีหัวใจ < ...


‎"คำพูด" ไม่สามารถบอกได้ทุก "ความรู้สึก" ของคนฟัง ...

แต่ "น้ำตา" สามารถบอกได้ถึง "ความรู้สึก" ของคนพูด !!! ..



มีคนบอกว่า "น้ำตา" สามารถเป็นได้ "ทุกคำตอบ" ...

งั้นเวลาทำข้อสอบ .. กูจะนั่ง "ร้องไห้" แมร่งเลยง่ายดี !!!.. 


โกหกคนอื่น..."บาป"
โกหกตัวเอง..."เจ็บ"


พยัญชนะภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว คือ "พ.D." 

เคยมั้ย..... เข้าไปดูหน้าwallของคนๆหนึ่งทุก​วัน แต่ไม่กล้ากดไลค์ ไม่กล้าคอมเมนต์ 
คนหนึ่งบอก "ตอนนี้ไม่ว่าง" มีอะไรมั้ย ??
อีกคนน้ำตาไหล บอกไม่มีอะไร แค่คิดถึง T T
‎"บางอาชีพ" เงินเดือนเป็นแสน .. ทำงานตอบแทน "ประเทศชาติ" ได้แค่ไหน ??
"ทหารและตำรวจไทย" ถึงเงินเดือนจะไม่เท่าไหร่ .. แต่ "อุทิศทั้งชีวิตให้แผ่นดิน"
"น้ำตา" อาจไม่ใช่ "คำตอบ" .. แต่ที่ต้อง "ร้อง" เพื่อให้ได้ "คำถาม" ?? ..
ถึง "ร้องไห้" มันไม่ได้ช่วยอะไรก็ตาม .. แต่ก็รอ "คนบางคน" มาถาม "ว่าเป็นอะไร" ???
อย่าโทษ! "มือที่ 3" ว่าเป็นคนที่ทำให้ "ความรัก" ของคุณพัง !!! ..

ลองย้อน! กลับไปมองดูตัวเองหรือยังว่า "ดูแลคนที่คุณรัก" ดีพอรึป่าว ?? ..
กรุณา!.. อย่าเรียกคนที่ชอบโพสต์ "คำคม" ว่าเป็นพวก "เพ้อเจ้อ" ?? .. 
เพราะ .. "ภาษาวัยรุ่น" เขาเรียกว่า "ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาใจ" !!! ..
เคยมั้ย?.. ที่ปากก็บอกว่า "ไม่แคร์ ไม่สนใจ" !!! ..

แต่พอ "ออนเฟสฯ" ทีไร?.. ก็ไปเปิดดู "ทุกโพสต์ ทุกคอมเม้นท์" ของเขาทุกครั้ง !!! 
เธอแค่ "รู้สึกดี" แต่ "ไม่มีใจให้" .. เธอแค่ "รู้สึกใช่" แต่ "ไม่อยากใช้ชีวิตร่วมกัน" ...
บางครั้ง! "ความเอาใจใส่" .. ก็สำคัญกว่า "คำว่ารัก" ที่พูดอยู่ทุกวัน ..!!!
‎"แฟน" เขามีไว้ให้ "รัก และห่วงใย" .. ไม่ได้มีไว้ เพื่อไปอวดใครๆ ให้รู้ว่า "กูมี" !!! 


credit : teenee.com