วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

ผมหน้าม้า...ไร้มัน



  ต้องยอมรับว่ายุคนี้ ผมม้านั้น เป็นผมทรงยอดฮิตของสาว ๆ ทั่วบ้านทั่วเมือง นอกจากการคอยจัดแต่งรูปทรงของผมหน้าม้าให้สวย เรียงเป็นระเบียบกิ๊บเก๋แล้ว อย่าปล่อยให้ผมหน้าม้ามันแผล็บ ติดหนึบเป็นแพด้วยล่ะ เพราะมันจะทำให้คุณหมดสวยไปได้โดยง่าย ขอแนะเทคนิคที่จะทำให้ผมม้าของคุณสลวย เงางามแต่ไม่มันติดหนึบตลอดวัน

      
 ไม่ใช้คอนดิชันเนอร์กับผมหน้าม้า เอาไปบำรุงเฉพาะปลายผมก็พอแล้ว

       เลือกใช้เครื่องสำอางสูตรปราศจากน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นครีมรองพื้น หรือแป้ง เพื่อไม่กระตุ้นให้ผิวสร้างน้ำมันส่วนเกินมากขึ้น

       หากผมหน้าม้ากำลังเริ่มดูมัน อย่าไปแตะต้องมันบ่อย ๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผมม้านั้นมันยิ่งขึ้น


ที่มา ... คู่หูเดินทาง



credit : teenee.com

ใช้แป้งแบบไหนดี?



ด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้าของโลกปัจจุบัน ทำให้มีแป้งแต่งหน้าอยู่มากมายหลายชนิดจนอาจสร้างความสับสนให้กับคุณได้ เราเลยขอมาไขความกระจ่างเกี่ยวกับแป้งแต่ละชนิด เพื่อที่คุณจะได้เลือกหาให้ตรงกับความต้องการของคุณจริงๆ
      แป้งตลับหรือแป้งแข็ง มักเป็นแป้งที่ผสมรองพื้นมาให้เสร็จสรรพ และสะดวกต่อการพกพาไปไหนต่อไหน แต่คุณก็ต้องระวังไว้ด้วย เพราะถ้าทาแป้งชนิดนี้มากเกินไป ก็อาจทำให้ดูหนาเตอะและขาวเว่อร์ได้

      แป้งโปร่งแสง จะมีลักษณะเป็นแป้งฝุ่นสีขาวๆ ที่ทาแล้วแทบมองไม่เห็น จึงเหมาะจะใช้ทาให้ทั่วใบหน้าด้วยแปรงแต่งหน้าหรือพัฟฟ์นุ่มๆ บางชนิดอาจจะมีการเจือสีสันมาด้วย โดยมากมักเป็นสีอมชมพูหรืออมเหลือง ซึ่งเราขอแนะนำให้ใช้สีอมเหลือง เพราะจะช่วยให้ทุกสีผิวดูสวยขึ้นได้ดีกว่าสีอมชมพู

      แป้งฝุ่น จะมีให้เลือกหลายเฉดสี ซึ่งเหมาะจะใช้คู่กับครีมรองพื้นที่มีเฉดสีเดียวกัน ซึ่งควรใช้ทาบางๆ ด้วยแปรงแต่งหน้าหรือพัฟฟ์เหมือนกัน



ที่มา .. Lisa





credit : teenee.com

ทรงผมสำหรับสาวหน้าเหลี่ยม



ไม่ใช่ว่าหน้าเหลี่ยม ๆ กำลังอินเทรนด์อยู่ในขณะนี้ แต่เพราะมีสาว ๆ หลายคนที่กำลังกังวลกับใบหน้าเหลี่ยม ๆ ของตัวเอง แต่จะให้ไป เหลากระดูก ตัดกราม หรือว่าเสริมคาง ก็ไม่ใช่เรื่อง!!

     
ให้คุณสาว ๆ มั่นใจในตัวเองขึ้น
         สำหรับทรงผมที่เหมาะกับสาวหน้าเหลี่ยมก็คือ ทรงผมดัดลอนใหญ่ ๆ พอง ๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากกรอบหน้า จะให้ดีผมด้านข้าง ควรสไลด์ไล่ระดับ เพราะมันจะช่วยอำพรางเหลี่ยมมุมของใบหน้าคุณได้เป็นอย่างดี และยังทำให้ใบหน้าของคุณดูเรียวสวยขึ้นด้วยค่ะ

          แต่สิ่งหนึ่งที่สาวหน้าเหลี่ยมห้ามทำเด็ดขาด คือ การตัดหน้าม้าเต่อ หรือไว้ผมหน้าม้าแบบตรง ๆ ทื่อ ๆ เพราะมันจะยิ่งเน้นให้เห็น ความเหลี่ยมของกรอบหน้าคุณ ประมาณว่า... เดินมาคิดว่าจอทีวีเดินได้มาแต่ไกล (อิอิ) หากว่าอยากตัดผมหน้าม้าจริง ๆ ก็ควรตัดแล้วปัด เป๋ไปข้าง ๆ ก็เก๋ไปอีกแบบ





credit : teenee.com

พักนานเกินไป ระวังใจด้านชา ..


การลาจากๆคนๆหนึ่งหรือสถานที่แห่งหนึ่งนั้น ในขณะที่เป็นฉากแห่งความเศร้าสร้อย แต่ก็เป็นเสมือนการเริ่มต้นใหม่ไปในตัวด้วย อย่างเมื่อเร็วๆนี้ ก็มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ซึ่งพระเอกพูดกับนางเอกว่า ทันทีที่ตำนานบทหนึ่งจบลง ตำนานบทใหม่ก็เกิดขึ้นพร้อมๆกัน’ และการเริ่มต้นใหม่นั้น ถึงแม้จะไม่มีใครรู้และการันตีได้ว่า อะไรๆมันจะดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ แต่การมีความหวังและมองโลกในแง่ดีนั้น ก็จำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่ต่อไปนะครับ ว่าแต่….เพื่อนๆทราบหรือไม่ว่า ระยะเวลาแห่งการ พักยกหัวใจ’ ที่เหมาะสมนั้น ควรจะเป็นกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี แล้วมันมีผลอย่างไร

1. จบแบบเปลี่ยนสถานภาพ  นั่นคือการเปลี่ยนจากการเป็นแฟน ไปเป็นเพื่อน เป็นพี่ หรือเป็นน้อง อะไรก็ตาม หากแต่ยังคงติดต่อสานสัมพันธ์กันอยู่ตามเดิม เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงสถานะเท่านั้นที่เปลี่ยนไป การจบความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ คุณสามารถมีแฟนใหม่ได้ทันที และส่วนมากก็จะความสัมพันธ์ที่มีความสุขมากกว่าเดิมด้วย เพราะอย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า คุณเลิกรากับคนรักเดิมแบบสร้างสรรค์ และมีวุฒิภาวะ รวมถึงไม่ได้ผิดใจกันจนต้องหาแฟนคนใหม่ หรือทำอะไรเพื่อประชดคนเก่า แต่ถ้าจะให้ดี อย่าไปคบคนใหม่ที่เป็นเพื่อนกับคนเก่าเข้าล่ะ แบบนั้นมันเข้าตำราแอบตีท้ายครัว ซึ่งไม่ต่างอะไรกับพวกมั่วสำส่อนทางเพศหรือถูกความกำหนัดครอบงำเลย



2. จบแบบยืดเยื้อ  การจบความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ก็คือ แบบว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตัดขาดจากคุณง่ายๆ ยังคงมีการโทรศัพท์คุย หรือหาเรื่องนัดเจอ เพื่อรักษาสถานภาพและดึงดันเอาไว้ก่อน เข้าตำราความอ่อนแอที่ยังมีอยู่ ทำให้กลัวที่จะเลิกแบบหักดิบกันไป ขอเวลาปรับตัวหรือทำใจก่อน ซึ่งอาจกินเวลานานเป็นปีเลยก็ได้ กว่าที่จะเลิกติดต่อกันไปอย่างเด็ดขาด หากคุณจบความสัมพันธ์เดิมที่จบลงในลักษณะนี้ คุณควรจะรอสัก 1 เดือนเป็นอย่างน้อย ก่อนที่จะเริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับใคร เพราะการจบความสัมพันธ์ในลักษณะดังกล่าว ก็แสดงว่าถึงแม้คุณจะคิดไตร่ตรองดีแล้วที่จะเลิกกับอีกฝ่ายเอง เพื่อไปไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีกว่าให้แก่ตัวเอง แต่คุณเป็นคนที่อ่อนไหวและใจอ่อนพอสมควร



3. จบแบบกะทันหัน  ควรรออย่างน้อย 3-6 เดือน ไม่ควรเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ทันที แต่จะ 3 หรือ 6 ก็ขึ้นอยู่กับบริบทหรือสถานการณ์ย่อยดังต่อไปนี้

     3.1 จบเพราะเสียชีวิตหรือพรากจากกัน  กรณีแบบนี้ รอแค่ 3 เดือนก็เพียงพอ เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วคนเราจะมีความรู้สึกผิด หากว่าสูญเสียคนรักไป แล้วไปคบหาคนใหม่อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรรู้สึกผิด แน่นอนว่าคุณอาจจะรักแฟนของคุณจริงจัง หากแต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ผู้ที่จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว หรือถึงจะรับรู้ หากถ้าเขารักคุณจริง เขาก็ต้องยินดีกับรักครั้งใหม่ของคุณแน่ๆ หากคุณมัวแต่รู้สึกผิดและรอนานเกินไป คุณอาจจะพลาดคนที่ดีและใช่สำหรับคุณ ที่บังเอิญผ่านเข้ามาในช่วงนี้ ไปอย่างน่าเสียดาย เพียงแต่คุณต้องเลือกคนใหม่ให้ดีๆล่ะ เพราะถึงคุณจะขจัดความรู้สึกผิดออกไปแล้ว ความรู้สึกที่อยากทำอะไรชดเชยให้คนรักเก่า ก็ยังอาจจะยังตกค้างหลงเหลืออยู่ จนอาจพยายามคว้าใครก็ได้มาเป็นตัวแทนเพื่อรับการชดเชยจากคุณ

    3.2 เลิกรากันไม่สวย  หากจบกันแบบนี้กับคนรักเก่า เรียกว่ากะทันหัน แถมยังเจ็บปวด บาดหมางต่อกัน วันสองวันคงไม่พอทำใจ เราขอแนะนำให้เว้นช่วงยาวไปเลย 6 เดือน ระหว่างนี้ให้ศึกษาและถามตนเองว่า ความรักที่เก่าจบลงไป มันให้บทเรียนอะไรแก่คุณบ้าง อะไรที่ทำให้คุณเจ็บปวดเมื่อเสียเขาหรือเธอไป อะไรที่คิดอีกทีว่า ก็ดีแล้วที่เลิกกัน’ เพื่อที่ครั้งต่อไป คุณจะได้สร้างมาตรฐานใหม่ ก่อนที่จะเริ่มมองหาและพบคนใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม ลบข้อเสียของคนเก่าออกไป แล้วเพิ่มข้อดีเป็นทวีคูณ แถมทำให้คุณลืมคนเก่าไปโดยสิ้นเชิงแทบจำหน้าแทบไม่ได้เลยก็เป็นได้



          สรุปแล้ว จะสังเกตเห็นได้ว่า มันไม่สำคัญว่าคุณควรจะเลือกแฟนใหม่หรือเริ่มความสัมพันธ์รักครั้งใหม่ ด้วยมาตรฐานเดิมหรือมาตรฐานใหม่ เพราะมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์และบริบทที่แตกต่างกันไป ดังนั้นควรใส่ใจไปกับการสำรวจตนเองมากกว่าว่า ความสัมพันธ์เก่าของคุณที่จบลงไปก่อนหน้านั้น มันส่งผลกระทบต่อคุณอย่างไร หากมันไม่มีผลทางลบหรือกระแทกอารมณ์ใดๆ แนวโน้มที่คุณจะสามารถมีความสัมพันธ์ใหม่ที่แฮปปี้กว่าเดิม ก็มีมากขึ้น เพราะถือว่าคุณได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นแล้ว แต่หากความสัมพันธ์เดิมมันจบลงอย่างซึมเศร้า เหงาหงอย ปล่อยทิ้งให้คุณมีแต่อารมณ์ในทางลบ ก็ควรที่จะให้เวลาตัวเองยาวนานต่างกันไปตามที่ได้กล่าวมานั่นเอง
เครดิต .. แจ๊ค



credit : teenee.com

ชวนชิมอาหารเจหลากสไตล์ @เยาวราช



ต้อนรับเทศกาลกินเจประจำปี “เปิดเมนู ออนทัวร์” อาสาพาไปชม ชิม ช้อป อาหารเจย่านเยาวราช กับซุ้มอาหารมากมายเกือบ 100 ซุ้ม 
เวียนมาถึงอีกครั้งกับเทศกาลกินเจประจำปี 2554 โดยในปีนี้ สำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ ได้จัดเทศกาลกินเจครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “เทศกาลงานเจ เยาวราช ประจำปี 2554 ภายใต้แนวคิด “84 พรรษา มหามงคล” ซึ่งเทศกาลกินเจเป็นเทศกาลสำคัญของชุมชนชาวจีนย่านเยาวราช คนไทยเชื้อสายจีน และคนไทยทั่วประเทศ เพราะเมื่อถึงเทศกาลกินเจประจำปีเมื่อไหร่ ที่นี่จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศมาจับจ่ายซื้อหาอาหารเจ

งานเทศกาลงานเจ เยาวราช ประจำปี 2554 ถือเป็นประเพณีประจำปีของชาวเขตสัมพันธวงศ์ ซึ่งได้ร่วมจัดงานขึ้นโดยหลายภาคส่วน ถือเป็นกิจกรรมทางพุทธศาสนา และประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมงานบุญมหากุศล ที่เปิดโอกาสให้ประชาชน พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติ ได้เดินทางมาร่วมพิธีกรรมสักการะสิ่งศักดิสิทธิ์ และจับจ่ายซื้อหาอาหารเจที่มีให้เลือกมากมายรับประทานร่วมกัน

สำหรับนักท่องเที่ยว หรือนักชิมที่อยู่ในช่วงถือศีลกินเจ และคิดไม่ออกว่าจะไปหาอาหารเจทานที่ไหน แนะนำว่าให้เดินทางมาที่ เทศกาลงานเจ เยาวราช แล้วทุกคนจะได้พบกับซุ้มขายอาหารมากมายที่ทางผู้จัดงานเตรียมไว้ต้อนรับกว่า 100 ซุ้ม มีให้เลือกตั้งแต่ของทานเล่น อย่าง เผือกทอด มันทอด ปาทองโก๋ เกี๊ยวซ่าเจ โรตีเจ ซูชิเจ ขนมจีบเจ ก๋วยเตี๋ยวหลอดเจ ฯลฯ หรือจะเป็นอาหารจานหลัก อย่าง ขนมจีนเจ อาหารราดแกงเจ ส้มตำเจ กระเพราะปลาน้ำแดงเจ ฯลฯ 

หลังจากที่เดินสำรวจดูจนเกือบครบทุกซุ้ม ขอแนะนำคนที่กำลังกินเจอยู่ว่าไม่ควรพลาดมาลิ้มรสอาหารเจหลากสไตล์ใน เทศกาลงานเจ เยาวราช ครั้งนี้ เพราะนอกจากทางเลือกที่หลากหลาย และความอร่อยแล้ว ราคาอาหารของแต่ละร้านก็ไม่แพงอย่างที่ทุกคนคิด พกเงินมาไม่ต้องมากก็สามารถเดินทานอาหารเพลินๆไปได้หนึ่งมื้อ ทั้งของทานเล่น อาหารจานหลัก และของหวาน

ภายในงานยังมีกิจกรรมให้ผู้เข้าร่วมงานร่วมสนุกมากมาย อาทิ ผู้ที่ไปไหว้พระบริเวณซุ้มประตู มีสิทธิ์ได้ลุ้นรับทองคำแท้ 9 เส้นทุกวัน ซึ่งทองทั้ง 9 เส้นจะผ่านพิธีกรรมศักดิสิทธิ์ที่ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติทุกคืน และกิจกรรมจับรางวัลรับของรางวัลมากมาย ฯลฯ 

ใครที่กำลังมองหาของอร่อยทานในช่วงเทศกาลกินเจ พร้อมอยากร่วมทำบุญเสริมสิริมงคลครั้งใหญ่ อย่าลืมแวะเวียนมาที่ “เทศกาลงานเจ เยาวราช ประจำปี 2554”
 ตลอด 10 วัน 9 คืน ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2554 ณ บริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนเยาวราช
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


credit : teenee.com

เผยรังนก 10 กระปุก ประโยชน์เท่าไข่ต้มใบเดียว



กมธ.คุ้มครองผู้บริโภคตั้งคณะทำงานศึกษารังนก ซุปสกัด มีประโยชน์จริงหรือ เทียบรังนก 10 กระปุกมีประโยชน์เท่ากับไข่ต้มใบเดียว พ่วงชาเขียว อย.เผยขอความร่วมมือไม่ตั้งตู้ขายในโรงเรียน
นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคไทยรักไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่าที่ประชุมกรรมาธิการ ได้พิจารณาเครื่องดื่มประเภทรังนก เนื่องจากในเครื่องดื่มรังนกมีเปลือกไม้ลักษณะคล้ายวุ้นเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย แต่อัตราส่วนของรังนกมีอยู่ประมาณ 0.1 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าน้อยมากสิ่งที่กรรมาธิการมีความเป็นห่วงมากคือไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากเปรียบเทียบจะพบว่ารังนก 10 กระปุก เท่ากับรับประทานไข่ต้มเพียงใบเดียว!
นายวิชาญ กล่าวว่า กรรมาธิการจึงมีมติตั้งคณะทำงานขึ้นมาคณะหนึ่ง โดยมี นพ.เฉลิมชัย เครืองาม เป็นประธาน เพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าว รวมทั้งประเภทซุปไก่สกัดต่าง ๆ ด้วยว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือไม่ นอกจากนี้ ยังได้ติดตามผลการศึกษาเครื่องดื่มประเภทชาที่มีราคาค่อนข้างสูง แม้ผู้ประกอบการจะลดขนาดของขวดให้เล็กลงแต่ราคายังคงเดิม
ทั้งนี้ จากการเชิญองค์การอาหารและยา (อย.) มาชี้แจงเรื่องดังกล่าวยังระบุว่าไม่บริโภคชาเขียว เพราะรู้ว่าชาเขียวไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังให้ดื่ม พร้อมทั้งได้ทำหนังสือไปถึงโรงเรียนทุกแห่งเพื่อขอความร่วมมือไม่ให้ติดตั้งเครื่องเพื่อขายเครื่องดื่มดังกล่าวด้วย





ทำดีหรือไม่ดี ก็เป็น = ขี้ปากชาวบ้าน




ทำดีหรือไม่ดี ก็เป็น = ขี้ปากชาวบ้าน
มีแฟนหลายคน = ฮ้า ก้อมันเจ้าชู้

มีแฟนคนเดียว = กลัวแฟนละซี

ไม่มีแฟน = เกย์


เห็นผู้หญิง แล้วเดินเข้าไปจีบ = อ่ายหน้าม่อ

เห็นผู้หญิง แล้วมองตาม = มัวแต่มองอยู่นั่นละ จะได้กินมั๊ยเนี่ย?

เห็นผู้หญิง แล้วทำเฉยเสีย = เกย์ชัวร์


มีแฟนแก่ = กะ เกาะเขากินละซี

มีแฟนอ่อน = อิ หลอกเด็ก

มีแฟนวัยใกล้กัน = ดูซิแม้แต่เพื่อน มันยังไม่เว้น


มีแฟนแล้ว ตกเย็นไปกินข้าวกะแฟน = มันเห็นแฟนดีกว่าเพื่อน

มีแฟนแล้ว ตกเย็นไปกินข้าวกะเพื่อน = มันเห็นเพื่อนดีกว่าแฟน

มีแฟนแล้ว ตกเย็นไม่กินข้าวกะใคร = มันมีชู้


ชอบนัดเจอกัน กะเพื่อนหญิงสนิท = มันนอกใจ ชัวร์

ชอบนัดเจอกัน กะเพื่อนชายสนิท = เกย์ชัวร์

ชอบนัดเจอกัน กะเพื่อนทั้งชายและหญิงสนิท = มันชอบเล่นหมู่ ชัวร์



จูงมือแฟน ตอนกลางวัน = ดูมัน ไม่อายแม้กระทั่งพระอาทิตย์

จูงมือแฟน ตอนเลิกงานตอนเย็น = ดูมัน เหม่ ยังกลางวันแท้ๆ

จูงมือแฟน ตอนกลางคืน = ดูมัน เดี๋ยวมันจะต้องมีอะไรกันแน่ๆ


เดินนำหน้าแฟน เข้าห้าง = มันไม่รู้จักคำว่า lady first รึไง

ให้แฟนเดินนำหน้า เข้าห้าง = มันจะให้แฟนเปิดประตูให้ รึไง

เดินเข้าห้าง พร้อมกันกะแฟน แล้วเปิดประตูให้แฟน = โคตรเว่อเลยว่ะ



ให้แฟนตัดสินใจ = อ๊ะ กลัวเมีย

ร่วมคิดกะแฟนก่อนตัดสินใจ = อ๊ะ ไม่กล้าตัดสินใจ

ตัดสินใจเอง = อ๊ะ เผด็จการ


แฟนไม่สวย = หาได้แค่นี้ ละว๊า

แฟนหน้าตาธรรมดา = ก็หน้าตาธรรมดา งั้นๆ

แฟนสวย = มันไม่สมกันนิหว่า


credit : teenee.com

โรคคิดถึง






โรคนี้จะเกิดกับคนที่อ่อนแอทางจิตใจขั้นรุนแรง
อาการเบื้องต้นของโรคนี้เริ่มจากเชื้อพาหะจะเข้ามาใกล้
สร้างความสนิทสนมกันตามประสาคนรู้จัก
แต่จะส่งผลถึงคลื่นไฟฟ้าในสมอง
ซึ่งจะแปรเปลี่ยนคลื่นความถี่จากความรู้สึกธรรมดาฉันท์เพื่อน พี่ น้อง
ให้เป็นตามที่ใจตนเองต้องการ

ต่อจากนั้น เมื่อเชื้อโรคได้เข้าสู่ร่างกายแล้ว
จะกระจายตัวอย่างรวดเร็วด้วยระยะเวลาอันสั้น

ซึ่งจะแปรตามความสัมพันธ์ที่มีมากหรือน้อยระหว่างผู้รับเชื้อกับผู้แพร่เชื้อ
ยิ่งมีมาก เชื้อก็จะยิ่งแพร่กระจายได้ไกล
โดยที่สภาพอากาศมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ด้วย ฤดูฝน มีคนโทรมาห่วงว่ากลัวจะเป็นหวัด : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 30%
ฤดูหนาว มีคนสัมผัสมือแก้หนาว : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 70%
ฤดูร้อน มีคนชวนไปเที่ยวทะเล : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 25% 

อาการของโรคนี้ โดยมากแล้วจะเริ่มจากการคิดเข้าข้างตัวเอง
จากนั้นก็จะเริ่มมีอาการอ่อนแอทางจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ

จะส่งผลกระทบต่อไปถึงชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นสายเพราะมัวคุย

ทางองค์การอนามัยโลก
จัดให้เป็นโรคที่อันตรายอีกโรคหนึ่ง

เพราะได้มีผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ติดเชื้อเอง
ทั้งร่างกายและจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลการวิจัยของสถาบันการแพทย์ชั้นนำ
ได้ข้อสรุปตรงกันว่า
 โรคแพ้ความใกล้ชิดนั้น 
อาการจะรุนแรงมากหรือน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับตัวผู้รับเชื้อเอง
หากเกิดอาการอ่อนแอทางจิตใจยิ่งมีมากเท่าไหร่

อาการของโรคนี้ก็จะน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
ผลกระทบจากโรคนี้คือ เมื่อเชื้อโรคได้แพร่เข้าสู่หัวใจโดยทางเส้นเลือดนั้น
จะทำให้เกิดอาการท้อแท้ หมดหวัง สิ้นหวัง โทษตัวเอง น้อยใจชีวิต
ปัจจุบันนี้ ทางการแพทย์ยังไม่สามารถที่จะหาวัคซีนป้องกันได้
เพราะเนื่องจากเชื้อนี้เป็นไวรัส ไม่สามารถฆ่าให้ตายได้

ทำให้โรคนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะเป็นๆ หายๆ
ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นอีกเมื่อไหร่ และจะหายเมื่อไหร่

ขึ้นอยู่กับผลกระทบที่เกิดขึ้นว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใด
แพทย์หลายท่านระบุว่า " เวลา"
จะเป็นยารักษาโรคนี้ได้ดีที่สุด


From : FW Mail

credit : teenee.com

ต้นรัก




ต้นรักนี้เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่แสนจะวิเศษกว่าต้นไม้ใดใดในโลกเป็นต้นไม้ชนิดเดียวที่ไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ 
เป็นต้นไม้แห่งการเยียวยารักษา เป็นต้นไม้ที่แสนจะบอบบาง อ่อนแอ
 
แต่ก็แข็งแกร่งในตัว...
 
ทุกคนล้วนมีต้นรักอยู่ในใจ แต่ก่อนที่จะเป็นต้นได้
 
ก่อนอื่นทุกคนต้องมีเมล็ดพันธุ์แห่งรักเสียก่อน
 
จากนั้นก็หว่านเมล็ดนั้นลงในกระถางแต่ละใบ
 
ซึ่งกระถางเหล่านั้นบ่งบอกถึงสถานะภาพของต้นรักแต่ละต้น
 
จากนั้นเราถนอมเลี้ยงจนกลายเป็นต้นอ่อน
 
สุดท้ายกลายเป็นต้นรักที่สูงใหญ่ หยั่งราก แผ่กิ่งก้านสาขาออกไป
 
คุณเคยมีต้นรักมั๊ย ?
 
ต้นรักที่ทำให้คนรอบข้างได้สัมผัสถึงร่มเงาแห่งความอบอุ่นและเย็นใจ
 
กิ่งใบที่ไหวอย่างอ่อนโยน กลิ่นไอแห่งรักที่ละมุนละไม
 
เราทุกคนสามารถปลูกต้นรักได้หลายๆต้นไม่จำกัด
 
ยิ่งปลูกมากเท่าไหร่ยิ่งดี
 
แต่ต้นรักนี้มีความพิเศษตรงที่ปลูกและตายง่าย
 
เลี้ยงให้โตและยืนยาวยาก
 
ต้นรักทุกต้นล้วนมาจากเมล็ดพันธุ์แห่งรักเหมือนกัน
 
แต่จะต่างกันตรงที่สถานะที่คนปลูกเจาะจงปลูกในแต่ละกระถาง
 
บางต้นปลูกไว้ในกระถางสำหรับคนพิเศษ
 
บางต้นปลูกลงในกระถางของพี่ชายที่แสนดี
 
บางต้นเป็นต้นรักของพ่อหรือแม่ หรือเพื่อนๆ ฯลฯ
 
บางทีเราปลูกต้นรักลงในกระถางสำหรับคนพิเศษ
 
แต่เลี้ยงไปเลี้ยงมามันไม่พิเศษอย่างที่คิด
 
นานวันเข้าต้นใบก็เหี่ยวเฉา
 
มันส่งสัญญาณเตือนเราว่าเปลี่ยนกระถางเถอะ
 
ถ้าฉันได้ไปอยู่ในกระถางของพี่ชายที่แสนดี
 
หรือน้องสาวที่น่ารักแล้วล่ะก็ ฉันจะสวยงามมากกว่า
 
ถ้าเป็นอย่างนี้เราก็คงต้องรีบเปลี่ยนกระถางให้มันก่อนที่มันจะตาย
 
เพราะถ้าเรายังฝืนต่อไป ต้นรักที่เรากว่าจะเลี้ยงได้งดงามอย่างนี้
 
สุดท้ายคงเหลือแต่ตอเป็นแน่
 
พอย้ายไปแล้ว...วันดีคืนดีนึกอยากจะย้ายมันกลับมากระถางใบเก่า
 
ก็คงต้องระวังหน่อยล่ะ
 
เพราะตอนย้ายครั้งที่แล้วรากมันยังช้ำอยู่เลย
 
ก็คงต้องดูก่อนว่ารากมันแข็งแรงแล้วรึยัง
 
มันพร้อมรึเปล่าที่จะย้ายกระถางครั้งใหม่
 
ต้นรักบอบบางเกินกว่าที่จะย้ายกระถางไปมาหลายๆครั้ง
 
ดังนั้นหากคิดจะย้ายครั้งใดก็ต้องคิดให้ดีดี
 
อย่าเลย...อย่าคิดที่จะถอนต้นรักทิ้งหากมันอยู่ผิดกระถาง
 
เพราะกว่าต้นรักจะโตมันได้ใช้เวลาและความทุ่มเทกายใจไปมากมาย
 
ทะนุบำรุงต้นรักนั้นต่อไปเถิด ให้มันโตในที่ที่มันควรอยู่
 
หากไม่สามารถอยู่ในกระถางที่เราอยากให้อยู่ได้ ก็จงนำมันปลูกลงดิน
 
เพื่อให้ต้นรักนั้นได้ให้ร่มเงา
 
ให้ความอ่อนโยนและความสวยงามแก่ผู้คนที่ผ่านไปมา
 
คงน่าเสียดายทีเดียว...หากต้นรักที่เราอุตส่าห์ลงแรงปลูกเป็นปี
 
ต้องถูกโค่นลงเพียงชั่วข้ามคืน


------------------------------






credit : teenee.com

6กลิ่นหอมกระตุ้นการเรียนรู้


อัศจรรย์! พลังกลิ่นหอมจากธรรมชาติ ช่วยจำดี มีสมาธิเปิดรับสิ่งใหม่ สร้างความจำระยะยาวช่วงหลับลึก

กลิ่นหอมจากดอกไม้ หรือพืชสมุนไพรบางชนิด นอกจากจะบำบัดจิตใจ เปลี่ยนความอ่อนระโหยโรยแรงกลับกลายเป็นความสดชื่นแล้ว
 ผลวิจัยในต่างประเทศยังพบว่า ขณะนอนหลับความจำจะถูกประสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของ “กุหลาบ” สามารถกระตุ้นกระบวนการดังกล่าว ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ดีขึ้น

นอกจากกุหลาบแล้ว ยังมีอีก 5 กลิ่น ที่ให้ความหอมละมุนระหว่างวัน ช่วยเสริมพลังสมองเช่นกัน

โดย “กลิ่นโรสแมรี่ และ เปปเปอร์มินท์” กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของการพูด ฟัง และมองเห็น ขจัดความรู้สึกเฉื่อยชา กระตือรือร้นต่อการเรียนรู้จดจำเรื่องราว และส่งเสริมให้ความจำดีขึ้น

“กลิ่นลาเวนเดอร์ มะนาว และส้ม”
 กระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท ช่วยลดความตึงเครียด วิตกกังวลน้อยลง
“กลิ่น” สามารถถ่ายทอดไปยังสมองได้เร็วกว่ากระแสประสาทชนิดอื่น จึงนิยมสกัด หรือแปรรูปจากดอกไม้-ส่วนต่าง ๆ ของพืชสมุนไพรข้างต้น แล้วนำความหอมอ่อน ๆ มาเป็นปัจจัยหนึ่งช่วยปรับอารมณ์-ความรู้สึกให้อยู่ระดับสมดุล พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เคล็ดไม่ลับสำหรับการแต่งหน้าให้ติดทนนาน


แต่งหน้า

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


         สาว ๆ เกือบทุกคนเวลาจะออกไปนอกบ้านกับเพื่อน ๆ หรือแม้แต่งานตอนค่ำ ก็มักจะใช้เวลาอยู่หน้ากระจกซะนานสองนาน เรียกว่าเช็คความสวยกันจนให้แน่ใจว่า เครื่องสำอางบนใบหน้านั้นจะไม่ลบเลือนได้อย่างง่าย ๆ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่นอกจากจะเช็คความสวยแล้ว ยังลงเครื่องสำอางจนหนา และซ้ำ ๆ กันไปมาหลายชั้นเพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องสำอางจะติดทนนานแล้วล่ะก็ ฟังทางนี้เลยค่ะเพราะวันนี้กระปุกดอทคอมมีวิธีแต่งหน้าที่ถูกต้อง ที่ทำให้คุณไม่ต้องมาเติมแป้งเติมเครื่องสำอาง หลังจากออกนอกบ้านมาฝากกัน แถมยังประหยัดเวลาได้อีกเยอะด้วยนะ ว่าแล้วก็ไปดูกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง

การลงรองพื้น/แป้ง

         เลือกใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ หรือครีมให้เหมาะกับสภาพผิว เพราะมันมีผลต่อเครื่องสำอางบนใบหน้านั่นเองค่ะ โดยเฉพาะสาวผิวมัน ไม่ควรใช้ครีมที่ทาแล้วหน้ามันอาบ เพราะเมื่อคุณลงเครื่องสำอางไปแล้ว ต่อให้ลงแป้งหน้ายังไง ไม่นานมันก็จะเลือนหาย กลับมามันเหมือนเดิม

         ในการลงมอยซ์เจอไรเซอร์ หรือครีมก่อนลงรองพื้น ควรทาครีมแล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีก่อน ให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิว จากนั้นจึงลงรองพื้นได้ตามปกติ

         ลงรองพื้นที่มีเนื้อละเอียดแต่สามารถปกปิดได้มิดชิด เพราะรองพื้นประเภทนี้จะทำให้ผิวหน้าดูเป็นธรรมชาติ และสำหรับสาวผิวมัน ก็ควรเลือกรองพื้นที่ไม่มีเนื้อมัน เพราะจะยิ่งทำให้หน้ามันกันไปใหญ่

         อย่าลงรองพื้นหนาเกินไป เพราะเมื่อเหงื่อออกบนใบหน้าแล้ว มันจะมาอุดตันรูขุมขน ทำให้ดูเป็นจุดเล็ก ๆ เต็มไปหมด ไม่เป็นธรรมชาติเลยล่ะ และที่สำคัญ การทารองพื้นที่ถูกต้องนั้น คือการตบเบา ๆ ลงไปบนใบหน้า ไม่ใช่การนวดให้ซึมซาบเข้าไปในผิวนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นคุณจะได้ผิวหน้าที่อุดตันไปด้วยรองพื้นเช่นเดียวกันค่ะ

         การลงแป้งหลังรองพื้นนั้น ให้ลงบาง ๆ ก่อน เพราะอย่างไรคุณก็จะต้องลงแป้งอีกชั้นหลังจากแต่งหน้าเสร็จอยู่แล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เนื้อแป้งบนใบหน้าดูหนาจนเกินไปค่ะ

การแต่งดวงตา

         อายไพรเมอร์ เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ สำหรับการแต่งหน้าให้ติดทนนาน ดังนั้นก่อนลงอายชาโดว์ทุกครั้ง อย่าลืมลงอายไพรเมอร์ก่อนเลยเชียว

         เลือกใช้อายชาโดว์เนื้อฝุ่นแทนการใช้อายชาโดว์เนื้อครีม เพราะนอกจากเนื้อจะไม่มันแล้ว ยังไม่มากองรวมกันที่รอยพับตาด้วย

         ในฤดูฝน ควรใช้มาสคาราแบบกันน้ำ จะช่วยให้มาสคาราไม่เลอะเปรอะเปื้อนใต้ตาค่ะ

         ในการลงอายไลเนอร์ ควรลงอายไลเนอร์แบบดินสอแล้วทาทับด้วยแป้งบาง ๆ จากนั้นกรีดซ้ำอีกรอบ

การทาปาก

         ลงรองพื้นให้ทั่วปาก แล้วอย่าลืมเขียนขอบปากทุกครั้งก่อนจะลงลิปสติก

         หลังจากเขียนขอบปากแล้วให้ลงลิปสติกก่อน 1 ชั้น จากนั้นเม้มปากกับกระดาษทิชชู ก่อนใช้แป้งทาบาง ๆ แล้วลงลิปสติกอีกครั้ง จะช่วยให้ลิปสติกติดทนนานค่ะ

         ส่วนวิธีการปัดบลัชออนนั้น คุณสามารถเลือกใช้บลัชออนเนื้อครีมหรือฝุ่นได้ตามถนัด แต่ให้ปัดก่อน 1 รอบ จากนั้นลงแป้งให้ทั่วไปหน้าเพื่อทำให้เครื่องสำอางทุกอย่างติดทนนาน แล้วเมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนทุกอย่างค่อยลงบลัชออนอีกครั้งค่ะ

         เพียงเท่านี้ สาว ๆ ก็เตรียมพร้อมออกไปดินเนอร์ หรือไปงานต่าง ๆ ในตอนค่ำแล้วค่ะ

อ่านแล้วคิดดูใหม่ เหตุใดจึงไม่ควรสวยด้วยแพทย์



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          เมื่อก่อนนั้นการศัลยกรรม มักพบเห็นได้เฉพาะในหมู่ดาราหรือว่าพวกคนกระเป๋าหนักเท่านั้น แถมทำแล้วก็ยังต้องหลบ ๆ แอบ ๆ ไม่กล้าบอกไม่กล้าเปิดเผยกับใครด้วย แต่ในยุคที่โลกหมุนไปเร็วเช่นนี้ การทำศัลยกรรมดูจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว เผลอ ๆ อีกไม่นาน การกรีดตาหรือว่าอัพดั้งอาจเป็นเรื่องธรรมดาสามัญพอ ๆ กับเดินเข้าร้านทำผมก็ได้ แม้จะเป็นเรื่องของความพอใจส่วนบุคคลแต่ว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าไม่ทำได้ก็คงจะดีกว่า(จริงไหม?) วันนี้เราเลยเอาเหตุผลดี ๆ ว่าทำไมสาว ๆ ไม่ควรจะสวยด้วยแพทย์มาฝากกันค่ะ 

  1. อันตราย

          เหตุผลอันดับหนึ่งก็คือความอันตรายที่แฝงมากับการศัลยกรรมนั่นเอง ในฐานะที่มันคือการผ่าตัดรูปแบบหนึ่งเพราะมีการลงมีด ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการฉีดยาชาด้วย และเจ้ายาชานี่แหละ ที่ทำให้คุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดกรณีแพ้ยาชา (นี่ยังไม่รวมถึงกรณีแพทย์ฉีดยาชาเกินขนาด ซึ่งแม้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยนะคะ) รวมถึงอาการอักเสบหรือติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นหลังการศัลกรรมด้วย

  2. ศัลยกรรมก็มีหมดอายุ

          ไม่ว่าจะพยายามหยุดอายุเอาไว้ที่เลขใด ๆ ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้ว คนเราก็ไม่สามารถเลี่ยงพ้นความร่วงโรยแห่งวัยตามธรรมชาติไปได้ รวมถึงการศัลยกรรมเอาสารหรือวัตถุแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายเช่นกัน สารเหล่านี้เองก็มีวันที่จะหมดอายุขัยไปตามสภาพของมันไม่ต่างจากเรา ซึ่งนั่นก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้วมันจะส่งผลใด ๆ กับเราบ้างด้วยค่ะ

  3. ผลกระทบระยะยาว

          การศัลยกรรมบางอย่างอาจมีไซด์ เอฟเฟ็กต์ ในช่วงสั้น ๆ เช่นอาจทำให้ใบหน้าตึงขยับไม่ได้จนกว่าจะเข้าที่ แต่ใครจะไปรู้ว่ามันอาจจะมีผลกระทบในระยะยาวด้วยก็ได้ ยิ่งเป็นนวัตกรรมความงามกับศัลยกรรมรูปแบบใหม่ที่เพิ่งจะคิดค้นได้ (ซึ่งตอนนี้มีมากมายอยู่เหมือนกันนะ) อย่างฉีดสารแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย นัยว่าจะขาวขึ้นหรือเติมเต็มรอยเหี่ยวย่น ที่เห็นคนเขาทำกันเยอะแยะแล้วก็ยังก็ยังดูดี ๆ กันอยู่ ไม่แน่ว่ามันอาจจะไม่ใช่ผลข้างเคียงที่ปรากฎในช่วง 4-5 ปี แต่อาจจะเป็นภัยแฝงที่คอยปรากฎผลในอีกสัก 10 ปีให้หลังก็ได้นะ

  4. เนียนแค่ไหนยังดูออกว่าทำมา

          คงเคยเห็นภาพเปรียบเทียบ อดีต-ปัจจุบัน หรือพวก before & after ทั้งหลายกันมาบ้างใช่ไหมคะ ถึงแม้จะทำได้เนียนแค่ไหนยังไง เสียก็ยังมีคนดูออกอยู่ดี (ตาดีและช่างสังเกตจริง ๆ แฮะ) หากคิดจะทำมาแล้วเนียน ๆ บอกว่าเนี่ยสวยแต่เกิด ธรรมชาติให้มา อันนี้ก็ไม่แนะนำจริง ๆ ค่ะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีพวกจับผิดดาราประเภททำ จริง-ไม่จริง หรอกค่ะ

  5. เสี่ยงโอกาสศัลยกรรมพลาด

          การทำศัลยกรรมไม่ได้ให้ผลออกมาตามที่คาดหวังได้ทุกครั้งไป บางคนทำแล้วไม่ดีต้องกลับไปแก้อีกตั้งหลายรอบ หรือในบางรายที่แก้ไขยากก็ต้องอยู่กับผลลัพธ์แบบนั้นไปตลอด และยิ่งถ้าเป็นการศัลยกรรมบนใบหน้า หากเกิดพลาดขึ้นมามันก็จะโชว์ผลของมันอยู่บนใบหน้าของคุณนั่นเอง เรามีเพียงร่างกายและใบหน้าเดียวนะคะ ถ้าเกิดเสียหายไปไม่มีให้เปลี่ยนแล้วจริง ๆนะ

  6. สวยแค่ไหนไม่เท่ามั่นใจในตัวเอง

          ผู้ที่คิดว่าการศัลยกรรมคือทางออกสำหรับปัญหาอกเล็ก หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เขาคิดว่าเป็นจุดบกพร่องหรือปมด้อยของร่างกาย นั่นมีแนวโน้มว่า คนกลุ่มนี้จะวนเวียนอยู่กับการแก้ และเติมเพื่อให้ได้ร่างกายหรือใบหน้าแบบที่ต้องการอยู่ร่ำไป ปัญหาที่แท้จริงไม่น่าใช่เรื่องความบกพร่องของร่างกาย แต่น่าจะมาจากความไม่มั่นใจ และไม่พอใจในรูปร่างของตัวเองเสียมากกว่า แทนที่จะมองหาทางออกด้วยการศัลยกรรม ลองหาทางออกด้วยการเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ในแบบที่ตัวเองเป็นดีกว่าเนอะ

  7. สิ้นเปลือง

         อย่างที่บอกว่าการศัลยกรรมมักเป็นเรื่องที่ทำกันในหมู่คนมีเงิน และหากคุณเป็นคนประเภทมีพอกินพอใช้ไม่ขัดสน แต่หากพูดถึงการศัลยกรรม มันก็จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายก้อนที่เกินงบที่คุณเคย ๆ ใช้มาทุกเดือน ลองคิดดูเถิดว่ามันคุ้มแล้วหรือ ที่จะต้องเอาตัวแลกกับการเป็นหนี้ (จะหนี้กู้หรือหนี้บัตรเครดิตก็ตาม) เพื่อที่จะได้สวยด้วยการศัลยกรรมเท่านั้นเอง

          อ่านแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าคิดน่าทบทวนให้หนักอยู่จริง ๆ ค่ะ ใครทึ่กำลังคิดจะทำก็ลองไตร่ตรองดูให้ดีอีกสักที ชั่งตวงผลดี-ผลเสีย ของมันดูและตัดสินใจให้ดีที่สุดนะคะ

ชวนแม่ท้อง Safe ผิวสวย ช่วยผิวใส


ตั้งครรภ์

Safe ผิวสวย ช่วยผิวใส (Mother & Care)
Mother & beauty ชานาดู

          คุณแม่ท่านไหนมีผิวแห้ง จึงมีโอกาส ผิวคัน ผิวแห้ง ผิวลอก เป็นขุย ผิวแตก ผิวแดง แสบผิว ผิวอักเสบได้ อย่าผ่านคอลัมน์นี้นะคะ ถ้าไม่อยากให้ผิวที่เคยดูดีมีเสน่ห์ หมดสวยหมดความมั่นใจที่จะโชว์ผิวในชุดสุดโปรด ฉะนั้น มาดูแลผิวให้ดีค่ะ

ผิวหน้า

 3 สดใส Face to Say "Yes"

          ใช้ครีมล้างหน้าแทนสบู่ โดยใช้ครีมลูบให้ทั่วหน้า แล้วใช้ทิชชูหรือสำลีเช็ดครีมออก

          สิ่งสกปรกหรือเครื่องสำอางจะถูกเช็ดออกไปพร้อมครีม ล้างน้ำสะอาดอีกทีหนึ่ง แล้วใช้ครีมบำรุงผิวหน้า

          ใช้ครีมบำรุงผิวหน้าทาที่ปากแห้งตึงด้วย ถ้าแห้งมากให้ทาขี้ผึ้ง วาสลิน ลิปบาล์มที่ได้ผลกว่า ลิปกรอส ลิปมัน

2 สดใส Face to Say "No"

          อย่าดึงสะเก็ดริมฝีปากปากที่ลอกเป็นสะเก็ด เพราะจะทำให้เป็นแผลปริแตกจนเลือดซึมมากขึ้น

          ไม่ใช้ครีมตัวเดิม เมื่อตั้งครรภ์หน้าอาจมัน โฟม ครีมล้างหน้า ที่เคยใช้อาจทำความสะอาดผิวไม่ดีพอ ทำให้เป็นสิวได้ง่าย ลองเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ที่เคยใช้หลังคลอดผิวก็จะกลับสู่สภาวะปกติได้เอง

ผิวกาย

 5 สดชื่น Body to Say "Yes"

          ลดการอาบน้ำลง หลังอาบใช้ครีมบำรุงผิวภายใน 3 นาที ทาแขน ขา ลำตัวให้ทั่ว นวดเบาๆ ให้ครีมซึมเข้าผิว

          ช่วงเช้าอาจอาบน้ำโดยไม่ฟอกสบู่ ผิวที่ทาครีมเมื่อคืน เมื่อถูกน้ำจะลื่นทำให้สิ่งสกปรกที่ติดผิวหลุดออกไปได้

          ใช้เบบี้ออยล์ น้ำมันมะกอก หรือครีมบำรุงผิวช่วยลดอาการคันที่หน้าท้อง ควรทาต้นแขน ต้นขาด้วย

          อาบน้ำเย็นหรือแช่ตัวในน้ำเกลือลดอาการคันหน้าท้องที่กำลังขยาย

          ใส่เสื้อผ้าปกปิดมิดชิด เพื่อลดการสัมผัสกับความแห้ง เป็นการลดการเสียน้ำจากผิวหนัง

6 สดชื่น Body to Say "No"

          หลีกเลี่ยงแดดและลมแรง ควรใช้โลชั่น หรือครีมกันแดดสม่ำเสมอ

          ไม่ใช้สบู่ ซึ่งทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติ เลือกครีมอาบน้ำที่ผสมมอยส์เจอไรเซอร์แทน

          อย่าลืมบางจุดที่แห้งกร้าน เช่น ข้อศอก หัวเข่า ควรทาครีม หรือวาสลีนประจำ

          ไม่อาบน้ำนาน น้ำที่ใช้อย่าให้เย็นจัดหรือร้อนจัด

          อย่าเกาเมื่อคันผิวหน้าท้องที่กำลังขยาย เพราะจะอักเสบเป็นแผล

          งดการอาบน้ำอุ่นเมื่อมีอาการคัน เพราะผิวแห้ง

ผิวมือ

 4 เนียนนุ่ม Hand to Say "Yes"

          สวมถุงมือ ถ้าต้องสัมผัสผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน ซึ่งอาจทำให้แสบ บวมแดง แตก แห้งลอก เป็นขุย

          หลังล้างมือทุกครั้งควรใช้ครีมทามือ เพื่อปกป้องความชุ่มชื่นให้อยู่กับผิวนานๆ

          นวดนิ้วมือด้วยครีม 3-5 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

          ช่วงก่อนเข้านอนสวมถุงมือผ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการซึมสู่ใต้ผิวของน้ำมันหรือครีมบำรุงผิว

2 เนียนนุ่ม Hand to Say "No"

          อย่าลืมทาครีมกันแดดที่มือทั้งสองข้าง เพราะช่วงตั้งครรภ์ผิวอาจคล้ำขึ้นได้ง่าย

          ไม่แกะผิวมือบริเวณที่ลอก ทำให้มีสัมผัสที่หยาบกร้านควรใช้ครีมบำรุงผิวแทน