วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

ระวัง น้ำท่วมร่างกาย



น้ำมีประโยชน์ ดื่มน้อยไปไม่ดี ดื่มมากไปก็มีโทษ คนส่วนใหญ่มักดื่มน้ำน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ แต่ทุกอย่างในโลกนี้ อะไรที่น้อยหรือมากเกินไปไม่ดีทั้งสิ้น


ทางสายกลางนั้นเอามาใช้ได้กับทุกสิ่ง เพราะการดื่มน้ำมากเกินไป หรือมีบางความเชื่อที่ให้ดื่มน้ำตอนเช้าทีละมาก ๆ เพื่อขจัดโรคหรือเพื่อการกระตุ้นลำไส้ ลองมาอ่านผลการวิจัยนี้แล้วคุณลองเลือกพิจารณาดูว่า อะไรสมเหตุสมผลมากกว่ากัน

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย George Town บอกว่าคนส่วนใหญ่จะมีทฤษฎีที่ทอ่งขึ้นใจว่าทุกคนควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1-2 ลิตร แต่ในความเป็นจริงทุกคนมีความต้องการน้ำแตกต่างกันไปและไม่ใช่ต้องเท่ากัน เพราะการที่ร่างกายได้รับปริมาณน้ำเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก ๆในระยะเวลาสั้น ๆ อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะไต อวัยวะสำคัญในร่างกายของเราที่ทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เป็นของเหลว

ปกติไตของเราจะสามารถขับของเหลวได้เฉลี่ยชั่วโมงละ 1 ลิตร ในเวลาปกติคงไม่ค่อยมีใครดื่มน้ำเป็นลิตรในเวลารวดเร็ว

แต่ผู้ที่มีความเชื่อประเภทดื่มน้ำมาก ๆ ตอนเช้าหรือนักกีฬา ผู้ที่ออกกำลังกาย คิดว่าการดื่มมาก ๆ น่าจะดีต่อร่างกาย

ผลกลับตรงกันข้ามเพราะในช่วงที่เราออกกลังกาย ไตกลับทำหน้าที่ขับน้ำออกจากร่างกายได้ต่ำกว่าปกติด้วยซ้ำ

เมื่อไตทำงานขับของเสียได้น้อย แต่เราใส่น้ำเข้าไปจำนวนมากกว่าปกติ ทำให้ความสมดุลของเกลือแร่ในร่างกายโดยเฉพาะโซเดียมในกระแสเลือดเจือจางลง ซึ่งมีผลต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย

Joseph Verbalis นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาเรื่องนี้ให้ข้อสรุปที่น่าสนใจไว้ว่า เพื่อให้เกิดประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย ควรดื่มน้ำบ่อย ๆ และดื่มทีละน้อย เหมือนสายน้ำที่ต่อเนื่องไม่ขาดสาย

ทางสายกลางดีเสมอแม้แต่การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ


แหล่งที่มา : Never-Age


credit : teenee.com

ท้องไส้ปั่นป่วนเรื้อรัง สัญญาณเตือนภัยมะเร็ง



หากคุณมีอาการท้อง อืด ท้องเฟ้อ ท้องผูกสลับกับท้องเสีย จำนวนครั้งในการขับถ่ายอุจจาระแปรปรวน ลักษณะของอุจจาระเปลี่ยนแปลงไป โดยมีเลือดปน สีคล้ำ และมีมูกปน รวมทั้งรู้สึกปวดเกร็งช่วงท้องน้อย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด และโลหิตจาง แม้ว่าเบื้องต้นก็ได้ทานยารักษาอาการแล้วแต่ยังไม่หาย โดยเฉพาะในคนที่อายุย่าง 50 ปี ให้ตั้งข้อสงสัยไว้เลยว่า อาจมีปัญหาที่ระบบของลำไส้ หรืออาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งก็ได้
          มะเร็งลำไส้ เกิดจากเซลล์ในเยื่อบุลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงเติบโตผิดปกติ เกิดติ่งเนื้อขนาดเล็ก จนนานวันเข้าติ่งเนื้อนั้นก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นเซลล์มะเร็ง และปัจจุบันมะเร็งชนิดนี้เป็นสาเหตุให้คนไทยเสียชีวิตในอันดับ 4 โดยโรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด หากไม่ผ่าตัด ยังมีวิธีรักษาโดยรังสี และเคมีบำบัด จะเป็นวิธีเดียวหรือหลายวิธีร่วมกันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยแต่ละคน

          ถ้าใครไม่อยากป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ก็ควรหันมาใส่ใจกับการทานอาหารให้มากขึ้นนะคะ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร เน้นผักและผลไม้ ในการตรวจร่างกายทุก ๆ ปี ให้ตรวจหาเลือดตกค้างในอุจจาระ ส่วนการส่องกล้องเช็คลำไส้ใหญ่ควรตรวจทุก ๆ 5 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปค่ะ..


แหล่งที่มา : Woman's Story




credit : teenee.com



ความสุขเล็ก ๆ ไม่มีเซ็กส์ก็เกิดขึ้นได้



ความวาบหวิวและความตื่นเต้นในชีวิตคู่ ใช่ว่าจะสามารถตักตวงได้จาก "เซ็กส์" เพียงอย่างเดียว การมอบความตื่นเต้นและวาบหวิวเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่ชายหนุ่มของคุณในทุกอิริยาบถที่ได้อยู่ด้วยกัน ก็สามารถช่วยเพิ่มดีกรีของความรักได้เป็นอย่างดี พยายามส่งผ่านความเซ็กซี่แบบไม่ให้จับได้ว่าคุณกำลังพยายามยั่วยวนเขาอยู่ เพราะความเป็นธรรมชาตินี่แหละ ที่จะทำให้เขาสนใจ และพยายามใกล้ชิดคุณมากขึ้นกว่าที่เคย
       1. สัมผัสเบา ๆ จากการจูงมือ ขณะที่จับมือกันตามปกติ ให้ลองเกาหรือลูบเบา ๆ ไปที่หลังมือ หรือระหว่างซอกนิ้วของเขา สัมผัสที่ขี้เล่น แต่แผ่วเบาจะช่วยทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย และวาบหวิวขึ้นมาเล็กน้อย การเพิ่มลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ จะช่วยเปลี่ยนความรู้สึกของการเดินจูงมือกันได้มากทีเดียว

      2. ใกล้ชิดกันมากขึ้น เวลาเดินด้วยกัน ลองจับมือของเขามาโอบไว้ที่เอวของคุณ วิธีนี้จะทำให้คุณผู้ชายรู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากความใกล้ชิดแล้ว ยังถือว่าเขาได้มีโอกาสแสดงให้คนอื่นเห็นอย่างเต็มที่ว่าเขาเป็นเจ้าของคุณอย่างเต็มตัว ซึ่งจะสามารถทำให้เขาเดิน ยืดอกอวดใครต่อใครได้อย่างภาคภูมิใจตามประสาผู้ชายอกสามศอก

      3. เซ็กซี่เล็ก ๆ แบบไม่ได้ตั้งใจ คุณไม่จำเป็นต้องแต่งตัวโชว์สัดส่วนมากมาย เพื่อให้เค้าชื่นชม เพียงแค่เปิดโอกาสให้เขาได้เห็นเนินอกของคุณบ้าง โดยไม่ต้องพยายามปิดคอเสื้อทุกครั้งที่ก้มเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกกระชุ่มกระชวย แต่ระวังอย่าเผลอไปก้มโชว์หน้าอกหน้าใจต่อคนอื่นเป็นอันขาดเชียวล่ะ

      4. 10 ตา เห็นไม่เท่าสัมผัสเอง เมื่อได้เห็นด้วยตา แน่นอนว่าต่อมาเขาต้องอยากสัมผัส อาจจะเริ่มที่การควงแขนโดยการกอดแขนเขา ให้ได้สัมผัสกับหน้าอกของเราบ้างเล็กน้อย หรือเบียดหน้าอกเข้ากับแผ่นหลังของเขายามเดินด้วยกัน สัมผัสอันอ่อนนุ่มนี่แหละ ที่เป็นไม้ตายสยบชายหนุ่มผู้แข็งกร้าวมาได้นักต่อนักแล้ว

          
เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เขารู้สึกถึงความใกล้ชิด สนิทสนม แสดงให้เห็นว่าเราไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวเขามากแค่ไหน แค่นี้ก็ทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นมาได้มากทีเดียว


ที่มา ... Woman Plus





credit : teenee.com

เครื่องดื่มซ่า ที่น่ากลัว



เครื่องดื่มซ่า ที่น่ากลัวในบรรดาเครื่องดื่มต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน น้ำอัดลม เป็นเครื่องดื่มที่จัดว่าไร้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง แถมยังเป็นโทษต่อสุขภาพอย่างมาก
         มองไปบนโต๊ะในร้านอาหารเกือบทุกแห่ง น้ำอัดลมหลากสีจัดเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม สำหรับหลาย ๆคนในบ้านเราและบ้านอื่น ทั่วโลก

          
นอกจากรสหวานที่ดึงดูดใจให้ต้องดื่มเป็นประจำแล้ว ความซ่าจากคาร์บอเนตก็ติดตราตรึงใจผู้คนไม่น้อย แม้จะมีราคาไม่สูงแต่เมื่อเทียบกับประโยชน์และโทษ นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่ควรหลีกหนีให้ไกล
       ประการแรก 
น้ำตาลที่สูงมากในน้ำอัดลมทุกขวด เป็นตัวสร้างปัญหาให้กับเราในเรื่องน้ำหนักตัวที่เกินปกติ เพราะน้ำอัดลม 1 กระป๋องหรือขวด มีน้ำตาลสูงเทียบเท่าน้ำตาลทราย 15-20 ช้อนชา เรียกว่าเราได้พลังงานมหาศาลถึง 300-400 แคลอรี่ หากใช้ไม่หมดมันก็จะสะสมเป็นชั้นไขมันในพุง หรือในต้นขาของเรา
       ประการที่สอง 
การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ และบ่อย ๆ ไม่เป็นผลดีต่อระบบภายในร่างกาย เมื่อน้ำตาลสูงร่างกายก็ต้องพึ่งฮอร์โมนอินซูลินในการลดน้ำตาลในเลือด ตับอ่อนก็ต้องทำงานหนัก ก็อาจเกิดความเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ ก็เป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน
         จากเบาหวานก็จะมีอีกสารพัดโรคที่ตามมา อาทิ ความดันสูง หลอดเลือดตีบ โรคหัวใจ

          แต่ท่านที่ติดความซ่าอาจคิดเลี่ยงไปซดเครื่องดื่มประเภทไร้แคลอรี่หรือปราศจากน้ำตาล แต่ท่านทราบไหมว่าเป็นการหนีเสือปะจระเข้ เพราะยิ่งดื่มจะยิ่งมีโอกาสอ้วน

           จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเท็กซัสกว่า 8 ปีต่อเนื่อง ได้มีข้อสรุปว่าผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มประเภทปราศจากน้ำตาลและใส่สารทดแทนความหวานจะมีโอกาสน้ำหนักเกินกว่ากลุ่มปกติการศึกษาชี้ถึงความเสี่ยงที่จะอ้วนสูงถึง 41% สำหรับทุก ๆ ขวดที่ดื่มเข้าไป

           
สาเหตุที่การดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาลแต่กลับมีโทษต่อร่างกายมากกว่าเพราะสารทดแทนความหวานสร้างปฏิกิริยาทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเก็บกักไขมันมากกว่าปกติ มากกว่าการเก็บจากภาวะที่เราได้จากน้ำตาลธรรมชาติ
         
 ประการต่อมา ความประมาทของผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่คิดว่าไม่มีน้ำตาลหรือกังวลเรื่องน้ำหนักตัว ทำให้เผลอใจกินอย่างไม่ระมัดระวัง กว่าจะรู้ตัวอีกที อ้วนเสียแล้ว
           สำหรับผู้ที่รักสุขภาพอย่างแท้จริง เครื่องดื่มประเภทนี้ควรหลีกหนีให้ไกลเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


ที่มา ... Never-Age



credit : teenee.com

ความเชื่อผิด ๆ ที่ต้องทิ้งวันนี้



ความเชื่อผิด ๆ ที่ต้องทิ้งวันนี้ความเชื่อมากมายที่บอกว่า "ทำอย่างนี้สิ เดี๋ยวจะผอมนะ" มันจริง ไม่จริงอย่างไร ?
      1. ถ้าอยากลดน้ำหนักจำเป็นจะต้องทนหิว
          การลดน้ำหนักโดยการอดอาหารมักจะไม่ได้ผลในระยะยาว อันที่จริงแล้วมันอาจนำไปสู่น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างถาวรด้วยซ้ำ ปัญหาก็คือการไดเอ็ตลักษณะนี้ มักจะเป็นไปได้ยากที่จะทำต่อเนื่อง ร่างกายของคุณจะมีพลังงานขับเคลื่อนน้อย ทำให้คุณกระหายอาหารที่มีไขมัน และน้ำตาลสูง เมื่อคุณตัดสินใจกินของเหล่านั้น คุณก็จะลงเอยกับแคลอรีส่วนเกินและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
     2. การออกกำลังอย่างหนักเท่านั้นที่จะช่วยลดน้ำหนักได้
          ไม่จริงเลย การลดน้ำหนักที่เป็นไปได้จะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณสามารถทำได้ในระยะยาวมากกว่า ซึ่งหมายถึงการออกกำลัง หรือเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างน้อย ๆ คุณควรออกกำลังกายวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ

          ทั้งนี้ ใน 30 นาที ก็อาจแบ่งเป็น 10 นาทีเดินเร็ว อีก 20 นาทีว่ายน้ำ ในการลดน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ คุณจะต้องสร้างแบบแผนการใช้แคลอรีมากกว่าที่ได้รับ 500 แคลอรีต่อวัน อาจจะด้วยการกินให้น้อยลง เคลื่อนไหวให้มากขึ้น หรือจะทำทั้งสองอย่างรวมกันก็ได้
     3. ยาลดความอ้วนใช้ได้ดีกับการลดน้ำหนักระยะยาว
        ไม่เลย ยาลดความอ้วนจะไม่ช่วยให้คุณรักษาน้ำหนักที่ลดลงไปได้ และคุณควรใช้เมื่ออยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
     4. อาหาร "ไขมันต่ำ" หรือ "ไม่มีไขมัน" มักจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
          ระแวงเอาไว้ก่อน ฉลากอาหารที่เขียนว่า "ไขมันต่ำ" จะต้องได้มาตรฐานตามที่ถูกกำหนดไว้ หากบนกล่องสินค้าเขียนเอาไว้ว่า "ลดปริมาณไขมัน", "ลดน้ำมัน" (Reduced Fat) อาจจะทำให้คุณเข้าใจผิด เพราะ "ลดปริมาณ" เพียงแต่หมายความว่ามีไขมันน้อยลง ไม่ได้บ่งบอกว่ามันดีต่อสุขภาพยิ่งขึ้น และอาจยังมีไขมันอยู่เต็มไปหมด และบางครั้งก็อาจมีน้ำตาลสูงด้วยเช่นกัน
     5. คาร์โบไฮเดรตทำให้น้ำหนักขึ้น
         เมื่อกินในปริมาณที่พอเหมาะ คาร์โบไฮเดรตจะไม่ทำให้น้ำหนักขึ้น ในปี 2003 การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน New England Journal of Medicine ชี้ว่า คนที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีการลดคาร์โบไฮเดรต (หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Atkins Diet") ไม่ได้ลดน้ำหนักเพราะลดแป้ง แต่เป็นเพราะปริมาณอาหารโดยรวมลดลงต่างหาก เวลาที่คุณลดน้ำหนัก ควรเลือกกินอาหารจำพวกธัญพืชหรือข้าวกล้อง และอย่าผัด หรือทอดอาหารจำพวกแป้ง
     6. การดื่มน้ำช่วยให้ลดน้ำหนักได้
        น้ำไม่ใช่ยาลดความอ้วน แต่มันช่วยให้ร่างกายของคุณชุ่มชื้นและอาจทำให้คุณกินของว่างน้อยลง โดยรวมแล้วน้ำมีความสำคัญมากต่อสุขภาพที่ดี บางครั้งเราอาจสับสนระหว่างความกระหายน้ำกับความหิว หากคุณกระหายน้ำคุณอาจจะกินมากขึ้น ดังนั้น จงอย่าได้ลืมดื่มน้ำประมาณ 2 ลิตรต่อวันเด็ดขาด
     7. การไม่กินบางมื้อช่วยให้น้ำหนักลด
         การอดมื้อกินมื้อไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย เพื่อลดน้ำหนักให้ได้อย่างถาวร คุณจะต้องลดปริมาณแคลอรีที่กินเข้าไป หรือเผาผลาญแคลอรีให้มากขึ้น ผ่านทางการออกกำลัง แต่การไม่กินบางมื้อ อาจทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลียเนื่องจากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ และอาจกลับไปสู่การกินอาหารไขมันกับน้ำตาลสูงด้วย
     8. มาร์การีนมีไขมันน้อยกว่าเนย
          ทั้งสองอย่างมีไขมันคนละชนิดกัน มาร์การีนมักจะมีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าเนย แต่มักจะมีไขมันทรานส์ หรือ Hydrogenated Fat ซึ่งอาจจะไม่ทำให้คุณอ้วน แต่อันตรายต่อสุขภาพและหัวใจยิ่งว่าไขมันอิ่มตัวเสียอีกในการลดน้ำหนักคุณจึงต้องลดทั้งไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ ซึ่งทำได้ด้วยการอ่านฉลากก่อนซื้ออาหารทุกครั้ง
     9. ถ้าเราไม่กินขนม เราจะผอมลง
           การกินขนมไม่ใช่ปัญหาเวลาที่ต้องการลดน้ำหนัก เป็นประเภทของขนมที่กินต่างหาก หลายคนต้องกินของว่างในระหว่างมื้อเพื่อให้ตัวเองมีพลังงานอยู่เสมอ โดยเฉพาะถ้ามีไลฟ์สไตล์ที่ต้องกระฉับกระเฉง แต่คุณควรจะเลือกผักหรือผลไม้แทนขนมนมเนยของกรุบกรอบ หรือช็อกโกแลตที่มีน้ำตาลกับไขมันอิ่มตัวสูงดีกว่า



ที่มา ... Lisa







credit : teenee.com

โรคจากการทำงาน




Office Syndrome คือ กลุ่มโรคที่พบได้บ่อยจากการทำงาน เช่น ไมเกรนหรือปวดศีรษะเรื้อรัง
ภาวะเสียสมดุล เช่น  ปวดคอ ปวดหลัง ชา   ไม่มีแรง   กระดูกสันหลังคดงอ  ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ
เส้นประสาทข้อมือถูกกดทับ   โรคประสาทหูเสื่อม เป็นต้น
พบอาการปวดในวัยทำงานถึง 60-70%  ส่วนใหญ่พบในกลุ่มคนวัยทำงาน ช่วงอายุระหว่าง16-35 ปี ซึ่ง
เป็นการทำงานแข่งกับเวลา  ส่วนกลุ่มคนทำงาน อายุ 55  ปีขึ้นไป มักมีอาการปวดศีรษะเนื่องจากเป็น
การทำงานที่ต้องรับผิดชอบการตัดสินใจเรื่องสำคัญ
สาเหตุของการปวดปัจจัยเสี่ยง• ปัจจัยส่วนบุคคล  :  อายุมากขึ้น   รูปร่างอ้วนลงพุง   นิสัยส่วนบุคคลเป็นคนเคร่งเครียด  วิตกกังวล
สุขภาพร่างกายส่วนบุคคล

• ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม  : สถานที่ทำงานไม่เหมาะสม    อยู่ในสถานที่คับแคบเกินไป  ทำงานหักโหมมาก
เกินไปอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน

• ปัจจัยด้านจิตใจ  : ความเครียดในการทำงาน   ความรีบเร่ง   ความเบื่อหน่ายในงาน
ปัจจัยส่งเสริม-  อยู่ในท่าที่ไม่ถูกต้อง : ทำซ้ำๆ  อยู่เป็นเวลานาน เช่น ท่ายื่นคอ   ห่อไหล่   ท่านั่งโน้มตัวไป   
     ข้างหน้า  ท่ายกของไม่ถูกต้อง  การใส่รองเท้าส้นสูง   เตียงนอนที่นุ่มเกินไป
-  ลักษณะงาน : ใช้แรงงานมาก  งานที่มีแรงสั่นสะเทือนนาน
-  คนอ้วน : พุงโย  กล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแรง
-  ภาวะสุขภาพอื่นๆ : ภาวะซีด  ไทรอยด์ต่ำ  ขาดสารอาหาร  การติดเชื้อ 
-  งานใหม่ : งานที่ไม่ถนัดหรือไม่เคยทำมาก่อน
-  การใช้มากเกินไป : ทำงานในลักษณะเดิมนานเกินไป  การงานท่าเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา
-  อุบัติเหตุ : ลื่นล้มอย่างรุนแรง









วิธีการแก้ไขปัญหาอาการปวด• พักผ่อน
• การใช้ยาลดปวด
• อุปกรณ์พยุงหลัง
• การทำกายภาพบำบัด
• การออกกำลังกาย
• การแก้ไขปัจจัยก่อเหตุ
• การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

การรักษาที่ได้ผลระยะยาว 2 สาเหตุหลัก
• สภาพที่ทำงาน : ปรับสภาพที่ทำงานให้ถูกสุขลักษณะ โต๊ะ  เก้าอี้  เครื่องคอมพิวเตอร์
• สภาพร่างกาย :  จัดโครงสร้างร่างกายให้เหมาะสมในการทำงาน  จัดระเบียบโครงสร้าง  ฝึกสมดุลโครงสร้าง
เพิ่มสมรรถภาพร่างกายให้แข็งแรงโดยออกกำลังกายแบบแอโรบิค



ที่มา : http://goo.gl/8mIZ9


credit teenee.com

ไม่อยากให้ตู้เย็นเหม็น ต้องทำอย่างไร



ตู้เย็นกลิ่นหอม
ป้องกัน ไม่ให้ตู้เย็นเกิดกลิ่นไม่รื่นจมูก หลังทำความสะอาดตู้แล้ว คุณอาจใช้สิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อไปนี้ปรับอากาศในตู้ให้มีกลิ่นหอมอยู่เสมอ
ผงฟู วางถ้วยผงฟูไว้มุมตู้ เปลี่ยนทุก 3 เดือน

ถ่านหุงต้ม หากระปุกเล็กๆที่ไม่ใช้แล้วใส่ถ่านหุงต้ม 2 - 3 นิ้ว สัก 2-3 ก้อน วางไว้ในตู้ เปลี่ยนทุก 3 เดือน

วานิลลา นำสำลี 2-3 ก้อนที่ชุบกลิ่นวานิลลาเรียบร้อยแล้ว วางบนชั้นวางอาหาร จะส่งกลิ่นหอมไปหลายอาทิตย์

กาแฟแบบบด วางถ้วยใส่กาแฟบดทิ้งไว้ในตู้เย็น จะช่วยใล่กลิ่นอับไปได้หลายเดือน แต่ระวังว่ากาแฟบดอาจทำให้ไอศกรีมหรือน้ำแข็งติดกลิ่นกาแฟ คุณจึงควรเก็บของเหล่านี้ไว้ในถุงพลาสติกหรือหาภาชนะปิดให้มิดชิด

มะนาว นำมะนาว 1 ลูกฝานครึ่ง แล้วนำไปวางหงายในตู้เย็น

เกลือและผลไม้ประเภทมะนาว (เช่น ส้ม มะกรูด) ผ่าครึ่งส้ม มะนาว มะกรูด เอาเนื้อข้างในออก จากนั้นเอาเกลือใส่เข้าไปแทน จะช่วยขจัดกลิ่นในตู้เย็นได้นานประมาณ 2 อาทิตย์



credit teenee.com

ผลไม้กับความเชื่อ




ลิ้นจี่
   ผลที่มีสีแดงของลิ้นจี่นี่ ทำให้เป็นที่นิยมนำลิ้นจี่ไปใช้ในงานมงคล ลิ้นจี่คือผลไม้ที่มีสีแดงสด ซึ่งคนจีนถือว่าเป็นสีแห่งความเป็นสิริมงคง  
กล้วย 
เป็นผลไม้แห่งการแตกหน่อ แตกสาขา ซึ่งในธรรมชาติของต้นกล้วยนั้น สามารถแตกหน่อไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีวันจบ กล้วยยังเป็นผลไม้แห่งการเชื่อถือในด้านการ มีบริวารมากมาย เช่นเดียวกับกล้วย 1 เครือที่มีลูกเป็นจำนวนมาก กล้วยจึงเป็นผลไม้ที่เชื่อว่าเป็นตัวแทนแห่งการขยายสาขา กิจการ การมีบุตรสืบสกุล มีบริวารมาก

ลำไย  ซึ่งคนจีนบางกลุ่มนำไปใช้ร่วมกับพิธีการสูง เพราะเชื่อกันว่า เป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความหวานชื่น ลำไยภาษาจีนแปลว่า ดวงตามังกร ซึ่งมังกรเป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้เมืองจีน ดังนั้นหมายถึง ความเป็นผู้ที่มีอำนาจ เป็นผู้นำปวงชน และเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือ ลำไยจึงเป็นผลไม้ที่เชื่อว่า เป็นตัวแทนแห่งความรัก ความเป็นผู้นำ และความมีอำนาจวาสนา
สับปะรด เป็นผลไม้ที่เชื่อกันว่าจะทำให้เกิดความรอบคอบ รอบรู้ในสิ่งต่างๆ ดูแลกิจการงานได้ทั่วถึง สายตากว้างไกล ประดุจดั่งสับปัรดที่มีดวงตารอบตัว สับปะรดจึงเป็นผลไม้ที่เชื่อถือว่า เป็นตัวแทนแห่งความรอบคอบ รอบรู้ สายตากว้างไกล
ทุเรียน เป็นผลไม้ที่มีความอุดมสมบูรณ์ในตัวเองมาก มีเนื้อในที่สวยงาม สีเหลืองดั่งทองคำ ด้วยความฉลาดหลักแหลมของธรรมชาติ จึงได้สร้างเกราะคุ้มกันเนื้อในสีทอง โดยการสร้างหนามแหลมคมรอบตัว เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ มารบกวน ทุเรียนจึงเป็นผลไม้มงคลที่ชื่อว่า เป็นตัวแทนของความฉลาดหลักแหลม เข้มแข็ง สามารถป้องกันตนเองได้

 สาลี่   หมายถึง การรักษาคุณงามความดีเอาไว้อย่างมั่นคง หรือรักษาซึ่งโชคลาภเงินทองมิให้เสื่อมถอย

 องุ่น หมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหน้าที่การงานและชีวิต


 แอปเปิ้ล
หมายถึง การมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์


 ส้ม หมายถึง ความมีโชคดี ประสบแต่สิ่งดีๆ เป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว ฯลฯ

 พลับ  
หมายถึง จิตใจที่หนักแน่น อย่างมั่นคง สามารถล่วงพ้นอุปสรรคนานาได้อย่างราบรื่นมีความขยันมั่นเพียรเป็นที่ตั้ง 


 ทับทิม 
กิ่งใบทับทิมเป็นใบไม้สิริมงคลที่ใช้พรมน้ำ และมีไว้ติดตัวเพื่อคุ้มครองกันภัย ภูตผีปีศาจ เป็นพันธุ์ไม้ที่ถูกนำมาเผยแพร่ในเมืองจีน  ด้วยความที่ทับทิมมีเมล็ดมาก จึงสื่อความหมายถึงการให้มีลูกชายมากๆ


 ผลท้อเป็นเครื่องหมายแห่งความยั่งยืน เป็นผลไม้ชั้นสูง สำหรับบูชาเทพบนสวรรค์

 พุทรา ในงานแต่งงาน มีความหมายว่า ขอให้มีบุตรที่ดี สุภาพ มีมารยาทดีในเร็ววัน
             มะยม ช่วยทำให้มีคนนิยมชมชอบ

มะขาม
ช่วยทำให้มีแต่ผู้คนเกรงขาม

 ส้มโอ ปลูกเพื่อความอุดมสมบูรณ์


credit teenee.com

ม.ผู้ดีแนะตื่นเช้า'สุขเพิ่ม-ผอมลง'


หากใครอยากมีความสุขมากขึ้นและผอมเพรียวกว่าเดิม นักวิจัยมหาวิทยาลัยโรแฮมป์ตัน ประเทศอังกฤษ แนะนำว่าให้ตื่นแต่เช้าตรู่

คำแนะนำดังกล่าวได้จากผลการสอบถามความคิดเห็นของผู้ชายและผู้หญิงเกือบ 1,100 คน เกี่ยวกับสุขภาพและพฤติกรรมการนอนหลับ พบว่า ในจำนวนนี้ 13% เป็นคนที่กระตือรือร้นและตื่นนอนก่อน 7 นาฬิกาในวันทำงาน โดยไม่จำเป็นต้องหลับชดเชยช่วงสุดสัปดาห์

ส่วนพวกนกฮูกที่ชอบนอนดึกและตื่นราว 9 นาฬิกา แต่ต้องมาหลับยาวช่วงเสาร์-อาทิตย์ มีอยู่ 6% ขณะที่คนส่วนใหญ่ที่เหลือตื่นและหลับในช่วงเวลาไม่แน่นอน

ดร.จอร์จ ฮิวเบอร์ กล่าวว่า คนที่ตื่นเช้ากว่ามีสัญญาณของความซึมเศร้าและความวิตกกังวลน้อยที่สุดนอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มจะกินอาหารเช้าที่ส่งผลให้ไม่อ้วน จึงมีรูปร่างเพรียวกว่า สุขภาพดีกว่าและมีความสุขมากกว่าคนที่ตื่นสาย


 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

credit : teenee.com

กินยาคุม-อกโต?

การคุมกำเนิดเป็นหนึ่งในวิธีการวางแผนครอบครัวสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมหรือต้องการควบคุมจำนวนบุตร

วิธีคุมกำเนิดสามารถทำได้หลายอย่าง อาทิ
- การวางแผนครอบครัวโดยนับวันไข่ตก และมีเพศสัมพันธ์ในระยะปลอดภัย
- การทำหมัน การใส่ถุงยางอนามัย ซึ่งสามารถคุมกำเนิดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
- การฉีดยาคุมกำเนิด ใส่ห่วงอนามัย
- การรับประทานยาคุมกำเนิด สำหรับเพศหญิง
แต่วิธีการหลังสุดนี้ในช่วงหลังพบว่ามีการนำมาใช้ในเพศชาย ที่ต้องการทำให้ตนเองมีสรีระคล้ายเพศหญิงด้วย
- ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นยาที่มีส่วนผสมของเอสโทรเจนและโปรเจสเตอโรน หรือฮอร์โมนเพศหญิงจะมีฤทธิ์เพื่อยับยั้งภาวะการเจริญพันธุ์ในเพศหญิง เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์โดยจะออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนในร่างกายดังนั้น เมื่อเรารับประทานเข้าไปฮอร์โมนจึงไปทำหน้าที่หลอกระบบภายในร่างกาย ซึ่งปกติมีการควบคุมกันเองโดยธรรมชาติทำให้ไม่มีไข่ตก ป้องกันการเจริญและการสุกของไข่มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียว เชื้ออสุจิจึงไม่สามารถผ่านเข้าสู่โพรงมดลูกได้ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อตัวไม่เหมาะต่อการเจริญของตัวอ่อน

โดยยาเม็ดคุมกำเนิดจะคุมสภาวะฮอร์โมนเพศชายในร่างกายที่มากเกินไปจึงทำให้เกิดความเข้าใจว่า จะสามารถลดสิว หน้ามัน ขนตามตัว หรือทำให้หน้าอกโตขึ้นได้ถึงขนาดที่มีความเชื่อว่า หากกินยาคุมกำเนิดย้อนศรแล้วจะทำให้ขยายขนาดหน้าอกแต่ความจริงแล้วยาทุกเม็ดมีฮอร์โมนเท่ากัน ไม่มีความแตกต่างในการรับประทานเม็ดไหนก่อนหลังหากเป็นแบบที่แต่ละเม็ดฮอร์โมนไม่เท่ากัน ยิ่งจำเป็นต้องกินยาตามลูกศรเพื่อให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายสมดุลส่วนเรื่องหน้าอก ยังไม่มีผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ยืนยันแต่ในบางรายอาจมีอาการบวมน้ำ ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าหน้าอกใหญ่ขึ้น

น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ความรู้ว่า ยาคุมกำเนิดจัดเป็นยาอันตรายเภสัชกรต้องเป็นผู้สั่งจ่ายในร้านขายยาเท่านั้น หากนำไปใช้ในทางที่ผิดและรับประทานในปริมาณมากเกินไป อาจเสี่ยงต่ออันตรายจากการได้รับปริมาณฮอร์โมนมากผิดธรรมชาติ ทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการมีบุตรยาก เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองอุดตันไปถึงโรคความดันโลหิตสูงจะมีโทษหากพบการจำหน่ายยาคุมกำเนิดโดยไม่มีเภสัชกรควบคุม ร้านขายยาจะมีความผิด มีโทษปรับตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท

และหากพบเภสัชกรจำหน่ายยาคุมกำเนิดแก่ผู้ซื้อเพื่อให้ไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่น ซึ่งไม่ใช่สรรพคุณที่อนุญาตตามที่ขึ้นทะเบียนไว้เช่น เพื่อบำรุงผิวพรรณ จะถือว่าเภสัชกรผู้นั้นกระทำผิดจรรยาบรรณที่พึงมีพึงทำอย.จะส่งเรื่องให้สภาเภสัชกรรม ซึ่งเป็นสภาวิชาชีพของเภสัชกรดำเนินการกับเภสัชกรผู้นั้นต่อไป

credit pooyingnaka.com

ท่องเที่ยว เทศกาลกินเจ ใน 7 จังหวัดภาคกลาง



เทศกาลกินเจ หรือ ประเพณีถือศีลกินผัก มีจุดเริ่มต้นจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประเพณีแบบลัทธิเต๋า 9 วัน 9 คืนกำหนดเอาวันจันทรคติคือวันขึ้น 1 ค่ำถึงขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 เป็นวันจัดงาน ปัจจุบันเทศกาลกินเจจัดขึ้นในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยในปีนี้เทศกาลกินเจของประเทศไทย อยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2554

ทั้งนี้ นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภูมิภาคภาคกลาง เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลกินเจ เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่ 19 จังหวัดภาคกลาง ให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปถือศีลกินเจไปในหลากหลายสไตล์ตามสโลแกน "เที่ยวหลากหลายภาคกลาง" หรือจะเดินทางร่วมกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคกลางในลักษณะที่ว่า "กินเจไปเที่ยวไปช่วยภัยน้ำท่วม" ก็ได้

เทศกาลกินเจใน 7 จังหวัดภาคกลาง ประกอบด้วย…

1. กรุงเทพมหานคร

1.1 เทศกาลเจเยาวราชบริเวณวงเวียนโอเดียนถึงแยกเฉลิมบุรี กำหนดการจัดงานวันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2554 โดยจะมีกิจกรรมเช่นผัดหมี่ทองคำมงคลการห่อปอเปี๊ยะทองคำยาว 85 เมตร (ลุ้นรับจี้ทองคำแท้จำนวน 9 รางวัล) และจำหน่ายอาหารเจ

1.2 เทศกาลเจ-ไหว้เจ้ารับเจ บริเวณศาลเจ้าจีจินเกาะริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้เขตคลองสาน กทม. กำหนดการจัดงานในวันที่ 26 กันยายน – 6 ตุลาคม 2554 โดยจะมีกิจกรรมเทศกาลอาหารเจ -ไหว้เจ้า

2. นนทบุรี

2.1 เทศกาลถือศีลกินเจบริเวณ วัดบรมราชากาญจนาภิเษก (วัดเล่งเน่ยยี่ 2) บางบัวทอง จ.นนทบุรี กำหนดการจัดงานวันที่ 26 กันยายน – 6 ตุลาคม 2554 โดยจะมีกิจกรรมเทศกาลอาหารเจ

2.2 เทศกาลกินเจบริเวณ ตลาดรวมใจ เมืองทองธานี กำหนดการจัดงานวันที่ 26 กันยายน – 6 ตุลาคม 2554 โดยจะมีกิจกรรมเทศกาลอาหารเจ

3. ปทุมธานี

เทศกาลถือศีลกินเจ บริเวณมูลนิธิรวมใจรังสิตปทุมธานี (ไต่ฮงกงรังสิต) จังหวัดปทุมธานี กำหนดการจัดงานวันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2554 โดยจะมีกิจกรรมเทศกาลอาหารเจ และชมขบวนแห่


4. ฉะเชิงเทรา

เทศกาลถือศีลกินเจ บริเวณโรงเจวัดหลวงพ่อโสธรวัดอุภัยภาติการาม (วัดซำปอกง) และวัดจีนประชาสโมสร (วัดเล่งฮกยี่) กำหนดการจัดงานในวันที่ 26 กันยายน – 6 ตุลาคม 2554 โดยจะมีกิจกรรมชมการแสดงอุปรากรจีน (งิ้ว) และเทศกาลอาหารเจ

5. สมุทรปราการ

เทศกาลถือศีลกินเจ บริเวณมูลนิธิธรรมะกตัญญู (เสียนหลอไต่กง) และโรงเจท่งเสียงปากน้ำ จ.สมุทรปราการ กำหนดการจัดงานวันที่ 26 กันยายน – 6 ตุลาคม 2554 โดยจะมีกิจกรรมเทศกาลอาหารเจ

6. สมุทรสาคร

งานประเพณีไหว้เจ้า 9 ศาลเทศกาลกินเจสมุทรสาคร บริเวณริมเขื่อนศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร และศาลเจ้าทั้ง 9 แห่ง กำหนดการจัดงานวันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2554

กิจกรรม

- สักการะศาลเจ้า 9 แห่งประทับตราในพาสปอตท่องเที่ยวไหว้เจ้า 9 ศาลเทศกาลกินเจสมุทรสาครรับเหรียญเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะจำนวน 10,000 เหรียญ

- เลือกซื้ออาหารเจจากผู้ประกอบการอาหารเจกว่า 50 ร้านค้า

- ร่วมทำบุญสมทบ 84 กองทุนถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554

7. อ่างทอง

เทศกาลถือศีลกินเจ บริเวณวัดจันทรังษี จังหวัดอ่างทอง กำหนดการจัดงานวันที่ 26 กันยายน – 6 ตุลาคม 2554 โดยจะมีกิจกรรมกินอาหารเจฟรี พร้อมกับร่วมสักการะหลวงพ่อองค์ใหญ่ที่สุดในโลก (มีคติความเชื่อว่าไหว้แล้วจะมีสุขภาพที่แข็งแรงสดใส)




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
tiewpakklang.com


credit : teenee.com

กินแก้โรค ข้าวสมุนไพรหลากสี



กินแก้โรค ข้าวสมุนไพรหลากสี

ข้าวต่างสี กินดีต่างกัน อาหารหลักของครัวไทย รู้สรรพคุณข้าวสมุนไพรสีต่างๆ เลือกกินให้เหมาะสม แก้ปัญหาสุขภาพได้
อาหารหลักคู่ครัวไทย อย่าง 'ข้าว' นั้น ทราบกันดีว่าอุดมด้วยคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็น 1 ใน 5 หมู่อาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และถ้าต้องการให้ข้าวแต่ละจานช่วยเสริมสุขภาพ ลดเสี่ยงโรคภัยต่างๆ ได้อีก ผู้อ่านควรเลือกกินข้าวที่ผสมสมุนไพร

ส่วนใหญ่ในท้องตลาดมี 'ข้าวสมุนไพรกระเจี๊ยบแดง' ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดน้ำหนัก ลดความดันโลหิต ช่วย รักษาโรคเส้นโลหิตแข็ง ขับปัสสาวะ ช่วยย่อยอาหาร เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้ร้อนใน และกระหายน้ำ

ตามด้วย 'ข้าวสมุนไพรขมิ้นชัน' สามารถยับยั้งการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยรักษาแผลเปื่อยในกระเพาะและลำไส้ ขับลมในกระเพาะ ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

ยังมี 'ข้าวสมุนไพรใบเตยหอม' บำรุงหัวใจ ช่วยรักษาโรคเบาหวาน โรคหอบหืด ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ และ 'ข้าวสมุนไพรอัญชัน' สรรพคุณรักษารากผมให้แข็งแรง แก้ฟกช้ำ-บวม ขับปัสสาวะ และบำรุงหัวใจ เพิ่มความสามารถในการมองเห็น และเป็นสารลดอนุมูลอิสระ

อย่างไรก็ตาม การจะมีสุขภาพที่ดี จะใส่ใจเพียงเรื่องอาหารการกินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอด้วย.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

credit  teenee.com